ในปีพ.ศ. 2546 และ 2548 โทนี่ จา (พนม ยีรัมย์) ดาราภาพยนตร์แอ็กชั่นชาวไทย เป็นนักแสดงภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งของประเทศไทย มีผลงานยอด นิยมเช่นเรื่อง องค์บาก และต้มยำกุ้ง ผู้กำกับคนเดิม ปรัชญา ปิ่นแก้วและผู้กำกับ คิวบู้ พันนา ฤทธิไกร โทนี่ จาได้พัฒนาภาพยนตร์การต่อสู้ไปสู่ระดับที่สดใหม่และ โดดเด่นกว่าเดิม
ครั้งนี้ไม่มีโทนี่ จา ทีมงานเดียวกันนี้ก็สร้างภาพยนตร์โดยมีนักแสดงหญิงคนใหม่ ญานิน วิสมิตะนันทน์หรือที่เรียกกันว่า จีจ้า (จีจ้าเป็นภาษาตากาล๊อกมีความหมาย ว่าไวโอลิน)
จีจ้าเรียนบัลเลต์ตอนวัยเด็กและต่อมาก็เรียนเทควันโด้และศิลปะป้องกันตัวอย่าง อื่นเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพในวัยเด็กและความต้องการความแข็งแกร่งทาง ร่างกายและจิตใจ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอได้เรียนมวยไทยและฝึกฝน อย่างหนักเช่นเดียวกับบุรุษเพื่อที่จะแสดงบทเสี่ยงชีวิตที่ยากและซับซ้อนได้สำเร็จ ในตอนนี้ จีจ้ามีอายุ 23 ปี เธอได้ใช้เวลา 4 ปีเพื่อที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ สองปี แรกใช้ในการฝึกฝนมวยไทยและยิมนาสติกและฝึกการแสดงและค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับเด็กที่เป็นออทิสติก สองปีหลังใช้ในการถ่ายทำและฝึกฝนบทสตั้นท์ที่ยาก กว่าเดิม
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จีจ้ารับบทเป็น “เซน” เด็กออทิสติกที่มีพรสววรค์ด้านศิลปะการ ต่อสู้และน่าขบขันตรงที่เหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกว่าช็อกโกแลต ก็ เพราะว่าเซนชอบทานช็อกโกแลตปริมาณมาก เรื่องมีอยู่ว่า เซนอาศัยอยู่กับมารดา ที่เป็นโรคมะเร็งและมีฐานะยากจนลงทุกทีเพราะค่ารักษาพยาบาลที่แพงมาก เซน พบว่าหลายคนเป็นหนี้แม่ของเธอ เธอจึงทำทุกอย่างเพื่อยืดชีวิตให้กับแม่ของเธอ ให้อยู่นานที่สุดรวมทั้งการต่อสู้กับศัตรูมากมาย ไม่เพียงแต่นักสู้ต่างๆเท่านั้นแต่ยัง รวมไปถึงนักการเมืองทุจริตอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ก็เป็นที่คาดเดาได้ว่า เซนต้อง ต่อสู้กับนักเลงนับร้อยคน บางคนก็เป็นนักมวยไทย บ้างก็เป็นนักมวยหญิงจาก ประเทศเกาหลีและยุโรป มีฉากที่เสี่ยงและน่าสนใจอยู่หลายฉากรวมทั้งการไล่ล่า ในรถไฟฟ้าบีทีเอส
ปรัชญา ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก และ ต้มยำกุ้งที่ทำให้โทนี่ จาเป็น นักแสดงชื่อดังระดับชาติ ได้มองเห็นแววจีจ้าตั้งแต่ห้าปีทีแล้วตอนที่เธอมาคัดตัว ในภาพยนตร์ของพันนา ฤทธิไกร เรื่อง เกิดมาลุย (“Born to Fight”)
ปรัชญากล่าวไว้ว่า พวกเรารู้สึกประทับใจในความสามารถของเธอแต่ในเวลานั้นยัง ไม่มีโครงการที่เหมาะสมสำหรับเธอ เราได้ตัดสินใจให้เธอฝึกฝนทักษะการแสดง โดยการให้เธอฝึกหัดกับทีมงานสตันท์
ในเวลานั้นจีจ้ายังเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เธอ ตัดสินใจเลิกเรียนเมื่อเธอพบว่ายากจะจัดสรรเวลาการเรียนและการฝึกซ้อม
จีจ้ากล่าวว่า ความก้าวหน้าในการฝึกซ้อมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหยุดการเรียน แต่หลังจากที่เธอถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จ จีจ้ากลับไปศึกษาต่อ คราวนี้เธอสมัคร เรียนที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต คณะนิเทศศาสตร์ วิชาเอกภาพยนตร์
เธอยอมรับว่าสี่ปีของการฝึกฝนนั้นเหน็ดเหนื่อยเป็นบางครั้งและขอหยุดพักเป็นบาง คราว เธอกล่าวว่า บางครั้งก็เบื่อและอยากจะหนีไป แต่ทุกครั้งที่หยุดพักก็จะคิดถึง การฝึกซ้อมแล้วกลับมาที่โรงยิมก่อนเวลาที่ได้วางแผนไว้
จีจ้ายังได้ฝึกการแสดงอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้เราเชื่อในบทบาทของเด็กหญิงที่ เป็นออทิสติกเรียนรู้การต่อสู้จากศิลปะการต่อสู้ที่มาจากโทรทัศน์
เธอใช้เวลาสองวันที่โรงเรียนพิเศษสำหรับเด็กออทิสติกและกลับมายังสถานที่ฝึก พยายามอย่างหนักที่จะรวมบุคลิกออทิสติกเข้ากับท่วงท่าการเคลื่อนไหวซึ่งเธอ ยอมรับว่าทำยากมาก
การแสดงภาพตัวละครให้ดูน่าเชื่อถือดูจะเป็นปัญหาคลาสสิคสำหรับนักแสดง แอกชั่นหลังจากที่ได้รับการท้วงติงในเรื่องบทที่ยังอ่อนและการแสดงที่ยังไม่ค่อยดี นัก ปรัชญาไมยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง
จีจ้ากล่าวอีกว่า เมื่อเธอแสดงบทแอ็กชั่นก็จะลืมเรื่องการแสดงทั้งหมด เขาสอนให้ ฉันความรู้สึกของออทิสติกเอาไว้ในหัวก่อนที่จะออกท่าทาง นี่เป็นเทคนิคที่ช่วยได้ดีมาก
จีจ้าจะสามารถนำภาพยนตร์แอ็กชั่นที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิงกลับมาสู่จุดสว่าง ผู้คนจะ ตื่นเต้นในท่าทางและการแสดงในทางเดียวกับนักแสดงหญิงเช่นจารุณีสุขสวัสดิ์ และหม่อมหลวงสุรีวัลย์ สุริยงค์ ที่แสดงภาพยนตร์แนวต่อสู้ฟันดาบในช่วงปลายยุค 70 ได้หรือไม่ พวกเราต้องรอคอยติดตามชม
จีจ้าหวังไว้ว่าผู้ชมจะชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ก็มีกระแสคำติชมต่างๆ บอกว่าเธอ เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของโทนี่จา เธอกล่าวว่า ฉันเชื่อในการอยู่กับปัจจุบันและรู้สึก แปลกที่เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยขอลายเซ็นและถ่ายภาพร่วม ฉันเป็นเพียงผู้หญิง ธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับโอกาสอันวิเศษและก็พยายามทำให้ดีที่สุดผู้ชมจะชอบ ภาพยนตร์เรื่องนี้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะไม่ ล้มเลิกและจะพยายามทำให้ดีกว่าเดิมในเรื่องต่อไป
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 บรรยากาศในประเทศไทยอบอุ่นมากขึ้นและภาพยนตร์ เรื่องช็อกโกแลตก็ได้รับการโปรโมตไปกับสื่อมวลชน น่าสนใจที่จะได้เห็นผู้ชมมี ความชอบหนังที่จีจ้าต่อสู้เหมือนกับผู้ชาย การผสมผสานระหว่างสไตล์ของบรูซลี เฉินหลงและโทนี่ จา ในภาพยนตร์เรื่องเดียวที่มีตัวเอกเป็นผู้หญิง
ในความเห็นของดิฉัน ในอนาคตจีจ้าสามารถพิสูจน์ตัวเองดารานักสู้หญิงในรูปแบบ ของเธอเอง ดิฉันคิดว่าความหมายที่แท้จริงของช๊อกโกแลตนั้นไม่ได้เป็นรสชาติที่ หวานและขมเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นความสุขและความเศร้าของชีวิตอีกด้วย
|