คุณพิมพ์ปวีณเป็นนักเขียนและนักแปลที่อยู่ในแวดวงของศิลปินไทยทั้ง
ศิลปินยุคปัจจุบันและศิลปินยุคที่ผ่านมา เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ศิลปากรและเธอรู้ตัวเองว่าจะทำอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิต
ในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชฯ สวรรคต ในวันต่อมาดิฉันเห็นเธอนำเสื้อสีดำจำนวนหนึ่งแจก
ให้กับผู้ที่มาเคารพสักการะในหลวงที่พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพ วันนั้นฝน
ตกทั้งวันแต่ก็มีผู้คนมายังพระบรมมหาราชวัง คุณพิมพ์ปวีณยืนอยู่ตรงนั้น
ทำงานและช่วยเหลือผู้คนโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ในตอนเย็นของวันนั้น
เธอไปให้กำลังใจนักศึกษาจิตรกรรมที่วาดรูป ที่ กำแพงที่คณะจิตรกรรม
ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สิ่งที่เธอทำในวันนั้น
เป็นที่น่าจดจำและน่าชื่นชม เธอเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ มีความ
มั่นใจในตัวเองสูงและมีทัศนคติในแง่บวก
บทสัมภาษณ์นี้พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและความรับผิดชอบ
ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับศิลปิน เธอยังเป็นตัวแทนที่ติดต่อศิลปินใน
วงการอีกด้วย ในหลายๆด้านดิฉันเชื่อว่าผลงานของเธอมีความสำคัญต่อ
สังคมไทย
จานีน: อยากทราบถึงมุมมองชีวิตในฐานะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำงาน
ของศิลปินหลายท่าน ทั้งในฐานะนักเขียน ผู้ทำการสัมภาษณ์ และนักแปล
พิมพ์ปวีณ: รู้สึกโชคดีที่มีโอกาสได้มาทำงานเบื้องหลัง คือ เป็นนักเขียน
ให้กับ ELLE Magazine Thailand มาตั้งแต่อายุ 19 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา
สิบกว่าปีมาแล้ว ความโชคดีที่ว่าคือ การได้พบปะเจอะเจอผู้คนมากมาย
หลากหลาย รวมถึงบรรดาศิลปินด้วย มันสนุกทุกครั้งที่ได้ออกไปทำงาน
เหมือนได้ไปเรียนรู้โลกกว้าง เปิดทัศนคติ เปิดมุมมองของตัวเองให้กว้าง
ขึ้น นิสัยส่วนตัวคือ ชอบพูดชอบคุยอยู่แล้ว มันเหมือนเราได้เรียนรู้โลกทาง
ลัด เพราะศิลปินแต่ละคนจะมีความเป็นตัวเองสูงมาก ได้เรียนรู้วิธีคิดและ
มุมมองของเขาที่มีต่อเรื่องราวต่างๆ ซึ่งกว่าจะมาถึงเส้นทางความสำเร็จ
วันนี้พวกเขาก็ผ่านอะไรกันมาเยอะมาก ประสบการณ์ที่ดีเราก็ได้นำเก็บมา
คิดและประยุกต์ใช้กับตัวเองทำให้เรามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อน
หลายๆ คนในวัยเดียวกัน เราชอบหมดไม่ว่าจะเป็นการออกไปทำงาน
สัมภาษณ์ การถ่ายทอดเรื่องราวที่พูดคุยออกมาเป็นตัวหนังสือ รวมถึงงาน
แปล เป็นอะไรสนุกมาก ทำมา 12 ปีแล้ว ก็ยังรู้สึกสนุกทุกวันไม่เคยเบื่อเลย
เรียกว่าเราหลงรักอาชีพนี้เลยก็ว่าได้ มันคือ ตัวตนมันคือชีวิตของเราเลยนะ
จานีน: เล่าประวัติส่วนตัว การศึกษา และหน้าที่การงาน
พิมพ์ปวีณ: เรามีแนวทางของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เรารู้ว่าตัวเองชอบอะไรรัก
อะไร และโชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยห้าม เราเรียนมัธยมในโรงเรียนหญิงล้วน
อันดับ 1 อย่าง สตรีวิทยา ที่นั่นทุกคนแข่งขันกันเรียน เลิกเรียนเพื่อนๆ ก็จะ
ไปเรียนพิเศษกัน เราก็เลยต้องไปกับเขาด้วย คือ ตามเพื่อนตามประสา
วัยรุ่นนั่นแหละ ซึ่งโดยพื้นฐานเราเป็นเด็กชอบเรียนหนังสือ รักเรียนมา
ตั้งแต่เด็ก เรามีความสามารถด้านภาษาเด่นชัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอตอน
ม.ปลายเราเลยเลือกเรียนศิลป์ภาษา เรียนภาษาฝรั่งเศส เราสนุกกับมันมาก
และทำมันออกมาได้ดี แต่เราชอบศิลปะด้วยตอนเอนทรานซ์เราจึงเลือก
เรียนคณะโบราณคดี ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะที่นั่นเน้นเรียนภาษา
ฝรั่งเศสที่ใช้กับงานศิลปะด้วย เราเรียนเอกภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีโอกาสได้
เรียนกับครูเจ้าของภาษาทุกวัน และได้เรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะที่เป็น
วิชาโท เราเรียนทั้งประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกและตะวันออก เป็นอะไรที่
สนุกมากตลอดสี่ปีของการเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในช่วงตอนปี 2 เราก็เริ่ม
ออกค้นหาตัวเองด้วยการสมัครฝึกงานกับบริษัทต่างๆ คือ เราสนใจแฟชั่น
ด้วย แต่แฟชั่นก็มีหลายแขนง เราเริ่มจากไปฝึกงานเป็นนักเขียนที่นิตยสาร
แอล ซึ่งโชคดีที่ผู้ใหญ่เห็นแววเราเลยได้เป็นนักเขียนอิสระที่นั่นมาตั้งแต่
ตอนนั้น แล้วก็อยากลองทำงานด้านอื่นที่เกี่ยวกับแฟชั่นด้วย เราเลยไปขอ
ฝึกงานทำ PR & Marketing ที่แบรนด์ Christian Lacroix กับ Emilio
Pucci ประเทศไทย แล้วก็ไปฝึกงานทำ Display ที่บริษัทGreyhound
พอเรียนจบเราก็เรียนต่อปริญญาโท
สาขาทฤษฎีศิลป์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์
มหาวิทยาลัยศิลปากร คือ ตอนนั้นคิดว่า
พอแล้วภาษา อยากต่อยอดเรียนศิลปะ ลึกๆ แล้วยังอยากเป็นครู เป็น
นักวิชาการศิลปะ แต่ก็ยังทำงานเป็นนักเขียนด้านแฟชั่น
ไลฟ์สไตล์ ความ งาม และเขียนบทความศิลปะควบคู่กันไปด้วย
ระหว่างนั้นก็มีเคยไปทำพี อาร์ให้กับแบรนด์ต่างๆ อยู่เป็นช่วงๆ
แล้วก็เขียนฟรีแลนช์ให้นิตยสารชั้น
นำมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Harper’s Bazaar, Madame Figaro, ELLE Men, Forbes, GM Watch
ปัจจุบันก็เพิ่มสายงานมาทำงานด้านออนไลน์
เขียนคอนเท้นท์ให้ Online Magazine และเป็นที่ปรึกษาให้กับแบรนด์เรื่อง
การดูแลภาพลักษณ์ทาง Social Media ด้วย บางโปรเจคก็จะมีไปทำหน้าที่
เป็นภัณฑารักษ์ จัดงานนิทรรศการศิลปะสนุกๆด้วย
จานีน: เล่าเรื่องการทำงานกับศิลปิน
พิมพ์ปวีณ: การทำงานร่วมกับศิลปินในฐานะนักเขียนที่ไปสัมภาษณ์ศิลปิน
เราได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น เราได้เรียนรู้ความคิด วิธีการทำงาน และ
ประสบการณ์ต่างๆ ของเขาผ่านคำบอกเล่า แต่พอได้มาร่วมงานจริงๆ ใน
ฐานะภัณฑารักษ์ผู้บริหารจัดการศิลปะที่ทำโปรเจคร่วมกับศิลปิน คือ มัน
สนุกอีกแบบ เหมือนลงภาคสนาม ลงมือปฏิบัติจริง ได้วางแผนงาน ได้
ทำงานต่างๆ ร่วมกันกับศิลปิน มันเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก เราได้เรียนรู้
ประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะศิลปินแต่ละคนก็จะมีคาแรคเตอร์ มีวิธี
คิด วิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป เหมือนเราได้เปิดหนังสือเล่มใหม่อ่าน
หรือ เรียนรู้โลกใบใหม่ตลอดเวลา
จานีน: อยากทราบความคิดเห็นเกี่ยวกับคนไทย โดยเฉพาะกับการอ่านใน
ปัจจุบัน
พิมพ์ปวีณ: คนไทยค่อนข้างอ่านหนังสือน้อย โดยเฉพาะเรื่องราวที่มีสาระ
ต้องปลูกฝังเรื่องรักการอ่านตั้งแต่เด็กๆ ส่วนผู้หญิงจะชอบความบันเทิง
สนใจเรื่องกินดื่มเที่ยว ความสวยความงาม เรื่องแฟชั่น อ่านยาวแค่ไหนก็ถึง
ไหนถึงกัน บทความหนักๆ ไม่ค่อยจะสนใจ น่าจะมีห้องสมุดดีๆ ให้คนไทย
ได้อ่าน ได้เข้าไปหาความรู้กันเยอะๆ แบบทั่วทุกย่านของกรุงเทพเลยยิ่งดี หนังสือก็ต้องเป็นหนังสือดีๆ ทันสมัยด้วย
จานีน: อยากบอกอะไรเพิ่มเติมกับผู้อ่าน
พิมพ์ปวีณ: คงเป็นเรื่องการใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆ วัน เราเป็นนักเขียน
อิสระ อุปกรณ์ทำงานคือคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง จึงสามารถเดินทางไป
ทำงานที่ไหนก็ได้ บางวันเรานั่งทำงานอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เห็นวิวภูเขา
วิวทะเล ใช้ชีวิต Slow Life เป็นอะไรที่มีความสุขมาก เราเห็นคนกรุงเทพ
รีบเร่ง แข่งขันกันสูง ทำให้ดัชนีความสุขลดลง คนสมัยนี้เครียดมาก ไม่ค่อย
มีเวลาได้พักผ่อน ไม่มีเวลาได้แสวงหาความสุขที่แท้จริง ทำให้คุณภาพ
ชีวิตลดลง ปัญหาต่างๆ เพิ่มพูน เพราะเวลาเครียดมักทำให้คิดอะไรไม่ค่อย
ออก ถ้าได้ไปผ่อนคลายสักหน่อย ก็คงเหมือนได้ชาร์จแบต กลับมาก็จะมี
พลังงานบวกไว้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ มากมาย อยากเห็นคนยุคนี้ใช้ชีวิตอย่างมี
ความสุขค่ะ
|