พนธ์พันธ์ วิชชุกิจมงคลเป็นศิลปินไทยที่สร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง งาน ของเขาส่วนใหญ่ถูกจับจองไปอย่างรวดเร็วโดยนักสะสมงานศิลปะ หลังจากที่ พนธ์พันธ์จบการศึกษาจากโรงเรียนสิรินธร จึงได้ไปศึกษาต่อที่คณะศิลปกรรม ศาสตร์ เอกออกแบบนิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
พนธ์พันธ์ได้เข้าร่วมในหลายๆ โครงการในประเทศไทยเช่นโครงการ Art for Cancer เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากจนที่เป็นโรคมะเร็ง รวมไปถึงมูลนิธิรามาธิบดี และ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เขาเป็นผู้ออกแบบใบปลิว เสื้อเชิ้ต และกระเป๋าให้กับมูลนิธิ เพื่อนช้างและเขาได้ส่งผลงานออกประมูลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วม
งานศิลปกรรมบัวหลวงครั้งที่ 38 อีกด้วย
พนธ์พันธ์เป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในสังคมไทย เขาทำงานหนักทุกวันและ ผลงานของเขาเป็นที่น่าจับตามองในหมู่นักสะสมงานศิลปะ ในเดือนมกราคมและ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เขามีงานนิทรรศการศิลปะกลุ่ม “The Four Elements” ร่วมกับเพื่อนๆศิลปินรุ่นใหม่อีก 3 คน และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 เขาได้เข้า ร่วมงาน "100 Artists for the King"
ต่อจากนี้ไปเป็นบทสัมภาษณ์
จานีน: คุณมีความคิดอย่างไรกับความสุขและความประทับใจในการทำงาน
พนธ์พันธ์: ความสุขและความประทับใจกับงานที่ได้ทำ ก็เหมือนชีวิตเราได้ทำใน สิ่งที่เรารักโดยที่ไม่ต้องไปเข็น หรือ ฝืนตัวเอง และเมื่อเราได้มีโอกาสได้ทำสิ่งที่ เรารัก และยังสร้างรายได้ และได้ความสุข สำหรับผม มันเหมือนได้กำไรสองเท่า เวลาที่ผมได้ทำงานและผมมีความสุขกับงาน รู้สึกดีกับงานมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกดี
และพอใจมากๆ ที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้
จานีน: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้คุณมาเป็นศิลปิน
พนธ์พันธ์: สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเป็นศิลปินมันเริ่มมาจากตอนเด็กๆ จริงๆ แล้วไม่เคยรู้เลยว่าอาชีพนี้มันคืออาชีพอะไร มีอยู่สามสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของ ผมในวัยเด็ก แรงบันดาลใจอันแรกเริ่มจากศิลปะในยุคอียิปต์โบราณ สมัยเด็กๆผม เคยเลียนแบบวาดภาพหน้าฟาโรห์ หรือ หน้าสฟิ้งซ์ และตัวผมเองก็ชอบรูปภาพ
ของพญานาคอยู่แล้ว ผมชอบไปวัด ชอบไปกอดรูปปั้น ผมชอบเวลามองภาพหรือ รูปปั้นนั้นเพราะมันดูเหนือจริง และเก็บมาคิดว่า นี้หรืองู แล้วเหตุใดทำไมงูจึงมี หงอน ทำไมเกล็ดต้องเป็นแบบนี้ ทำไมตาต้องเป็นสีแดง ทำไมต้องดูดุดันแบบนี้ นอกจากคำถามต่างๆนี้แล้ว ตัวผมเองก็ชอบสังเกตุสรีระร่างกายของมนุษย์ ผมคิด
ว่ามันมีความงาม ปนกับอะไรบางอย่างที่มันเป็นแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้ผม ได้ทำงานศิลปะ มันทำให้ผมได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ของคน
จานีน: อะไรคือความเหมือนและความแตกต่างในผลงานของคุณจากอดีตจนถึง ปัจจุบัน
พนธ์พันธ์: ผมคิดว่าผลงานในปัจจุบันนั้นค่อนข้างฉีกแนวออกไปจากผลงานใน อดีตค่อนข้างเยอะ เมื่อก่อนแนวความคิดของผมในการทำงานศิลปะจะมีแต่พุทธ ปรัชญาอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกส่วนตัวที่ไปเข้าไปผูกติดกับกับสังคมภายนอก หรือเรื่องที่เข้ามากระทบเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันค่อยๆจัดจ้านขึ้นเรื่อยๆด้วยฝีมือที่
พัฒนามากขึ้น ด้วยแนวความคิดที่กว้างขึ้นและไกลขึ้น วิสัยทัศน์ที่กว้างขึ้น เป็นต้น มันเลยเกิดความแตกต่างในผลงาน ถ้าเคยเห็นผลงานของผมตั้งแต่ต้นๆ กับ ผลงานของผมตอนนี้ มันคนละความรู้สึกกันเลย นอกจากนี้ยังมีอัตลักษณ์ หรือว่า รูปภาพการนำเสนอออกไปด้วยโทนสี และทำให้ดูเหนือจริงมากขึ้น แต่ถ้ามุมมอง
ของงานในอดีต มันก็สวยในแบบของมัน สวยในยุคนั้น มีความเป็นวัยรุ่น ความ สดใส ความคึกคะนองความอยากลองหลายๆอย่าง มันจะเป็นช่วงเวลาของยุคๆนั้น
จานีน: เกี่ยวกับแนวคิดและเทคนิคในการทำงาน
พนธ์พันธ์: แนวคิดเทคนิคในการสร้างผลงานศิลปะในแบบของผมนั้น ผมมีแนวคิด ส่วนใหญ่ในพุทธปรัชญา อย่างเช่นเรื่อง ความเพียร อริยสัจสี่ เป็นต้น เหตุผลหลัก เพราะผมต้องการสอนคน ให้คนนั้นได้อะไรจากศิลปะบ้าง ไม่ใช่ให้มองแล้วเห็นแต่ ความงามกับความรู้สึกอย่างเดียว มองแล้วอยากให้ได้อะไรดีๆข้อคิดดีๆกลับไปบ้าง
ส่วนเทคนิคนั้นผมใช้สีรองพื้นเป็นสีน้ำมันผสมกับสีอะครีลิคกับทองคำเปลว ซึ่ง จะเพิ่มความเป็นไทยให้กับรูปภาพ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาใส่ลายไทย
จานีน: อยากให้เล่าถึงเรื่องประวัติส่วนตัว
พนธ์พันธ์: ผมมาจากครอบครัวปรกติครับ มีรายได้ปานกลาง แต่ตอนเด็กๆก็อาจจะ ยากลำบากหน่อยเวลาอยากได้อะไรมาเป็นของตัวเอง ผมต้องรู้จักขนขวายมาด้วย ตัวเองเกือบทุกอย่าง แต่ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ไม่รักนะครับ พ่อแม่ท่านก็รัก แต่ท่านก็ มีแนวทางของท่านส่วนตอนเด็กๆนั้น เรียนต่อที่โรงเรียนสิรินธร หลักสูตรการเรียน
ภาษาอังกฤษ จนจบมัธยม แต่จริงๆนั้นผมอยากเรียนเพาะช่างมาก แต่ทางบ้านไม่ สนับสนุน ส่วนตอนเข้ามหาวิทยาลัยผมได้ศึกษาต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย กรุงเทพสาขาศิลปกรรมเอกออกแบบนิเทศศิลป์ แรกๆพ่อแม่นั้นไม่สนับสนุนเพราะ กลัวจะเป็นศิลปินไส้แห้ง แต่ผมได้พิสูจน์ให้ท่านทั้งสองเห็นแล้วว่า ผมไม่ไส้แห้ง
นะ ผมได้เริ่มทำงานมานานแล้ว แต่ได้มาทำงานจริงจังบนเฟรมผ้าใบครั้งแรกตอน เรียนอยู่ปีสาม ในขณะที่ยังเรียนอยู่และเริ่มขายงานได้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา โดย งานสองชิ้นแรกของผมถูกสะสมโดย อาจารย์ที่สอนผมมา
จานีน: คุณจะอธิบายให้คนในประเทศไทยและต่างประเทศอย่างไรเกี่ยวกับศิลปะ ไทย
พนธ์พันธ์: ผมจะบอกเขาไปว่าประเทศไทยจริงๆแล้วเป็นประเทศที่สงบนะ เป็น เมืองที่น่าอยู่ เป็นเมืองแห่งศิลปะและวัฒธรรมต่างๆเพราะว่าบ้านเราไม่เหมือนกับ ทางยุโรป ทางยุโรปจะมียุคเรอเนซองส์ วิคตอเรียน อะไรต่างๆกันไป เราก็จะมี สุโขทัย อยุธยา อู่ทอง ซึ่งศิลปะแต่ละยุคเนี่ยลวดลายมันจะคนละแบบกัน สุโขทัย
พระก็จะหวาน สวยงาม พอมาอยุธยาพระก็จะดุ เนื่องจากช่วงนั้นมีสงครามเยอะ ยุค อู่ทองพระก็จะมีรูปหน้าแตกต่างไปอีก จะมีส่วนผสมของขอมเข้ามา ของเราดีๆมีอีก เยอะครับ และวงการศิลปะไทยเหมือนพึ่งเริ่มโผล่พ้นน้ำมา ตอนนี้วงการศิลปะไทย กำลังไปได้ดี ศิลปินเก่งๆเยอะมาก ต่างชาติเริ่มให้ความสนใจในศิลปะไทยเยอะ
มาก อยากเชิญชวนให้ทุกคนได้มาดูมาสัมผัสศิลปะไทยกัน ผมมองว่าลายไทยเรา ดึงดูดต่างชาติมาก เพราะทางบ้านเขาไม่มี ดูอย่างลายไทยที่นำมาประยุกต์ใหม่ เหมือนของท่านอาจาร์ยเฉลิมชัย ผมมองว่าเป็นลายไทยที่ถูกนำมาทำให้ร่วมสมัย และเป็นสากล
จานีน: อยากทราบเรื่องงานนิทรรศการศิลปะที่ผ่านมา
พนธ์พันธ์: ผมได้เข้าร่วมงานบัวหลวงในปี 2559 และมีอีก 2 งานในปีถัดมา คือ งาน “100 Artists for the King” และงาน “The FourElements” จัดขึ้นที่ E’SAC กรุงเทพ ผมประทับใจทุกงานครับ เหมือนเราได้เห็นอะไรกว้างขึ้น งานของหลายๆ คน เป็นการประเมินตัวเองไปด้วยในตัวว่าเราควรอยู่ในระดับไหน ส่วนงานแสดง
ศิลปะที่จะมีขึ้นนั้นมีแน่นอนครับ ผมได้วางแผนไว้แล้วครับ แต่คงยังไม่ใช่ปีนี้ ปีนี้สำหรับผมคือปีที่ผมได้เริ่มทำงานอย่างเต็มที่และจริงจัง ผมอยากให้งานมันสุด ยอดทุกชุด พอเสร็จแล้วผมคงจัดงานศิลปะเป็นงานเดี่ยวของผมแบบใหญ่ๆทีเดียว
จานีน: คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับนักสะสมงานศิลปะที่เก็บรวบรวมผลงานของ คุณ
พนธ์พันธ์: รสนิยมความชอบของผู้สะสมงานศิลปะที่ชื่นชอบในผลงานของผม ผม ว่าเขาเป็นคนที่ต้องมีพลัง ทำให้เขามีความรู้สึกมีพลัง และเขาน่าจะชอบทางพุทธ ปรัชญา เป็นคนที่ชอบแนวความคิด เป็นคนมีอุดมการณ์ เป็นคนที่มีความเป็นตัวเอง สูง และคงเป็นคนที่ชอบทำบุญด้วย ส่วนนักสะสมที่สะสมผลงานของผมนั้น เขา
ไม่ได้สะสมผลงานของผมคนเดียว ยังมีศิลปินอีกหลายท่านที่นักสะสมเลือกจะเก็บ งานไว้ แต่นักสะสมบางคนเห็นภาพผมแล้วมันถูกใจเขา เขาก็เก็บงานผมไป บางที มันมีพลังเขาก็ชอบผลงานผมครับ แต่ที่ผมสังเกตุคือคนไทยชอบงานรายละเอียด เยอะๆครับ มันดูคุ้มเงินเค้าดี
จานีน: สุดท้ายแล้วมีอะไรจะฝากให้กับผู้อ่านไหมคะ
พนธ์พันธ์: เรื่องอื่นๆที่ผมอยากเล่าให้ฟังก็คือว่า ศิลปะมันเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวนะ มันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ และเข้าใจและพัฒนามันได้ให้ไปสู่ ระดับที่มันสากลมาขึ้นและทุกคนมีสิทธ์ที่จะจับต้องศิลปะได้ ศิลปะไม่ใช่ของสูง
ครับ ทุกคนมีสิทธ์ที่จะเข้าใจและเข้าถึงมันได้ ถ้าศึกษา แล้วคุณจะได้อะไรที่ดี มากๆ จากศิลปินและศิลปะที่เขาแฝงปรัชญาเอาไว้
|