หลังจากการจัดนิทรรศการในกรุงอัมสเตอร์ดัม ชวลิต เสริมปรุงสุข ศิลปินแห่งชาติ สาขา ทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปีที่ได้รับ พ.ศ.2557ได้กลับมาประเทศไทยอีกครั้ง กับนิทรรศการครั้งใหม่ '80+' เทศกาลศิลปะ ในประเทศไทย ที่จัดขึ้นถึง 6 แห่ง คือ บ้านอาจารย์ฝรั่ง, หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน,
ล้ง 1919, หอธรรมพระบารมี หอศิลป์ร่วมสมัย, หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, นำทอง อาร์ต สเปซ นิทรรศการที่จัดเริ่มตั้งแต่ พฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ชวลิต เสริมปรุงสุข เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2482 เรียนจบชั้นประถมและมัธยม ที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำของนักเรียนชายในกรุงเทพมหานคร หลังจากที่ได้เข้าเรียนและเรียนจบในสถาบัน วิทยาลัยช่างศิลป์ ต่อมาได้เข้าเรียนต่อในคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ชวลิต เสริมปรุงสุข ได้เป็นนักศึกษากลุ่มสุดท้าย ที่มีโอกาสได้เรียน และทำงาน กับอาจารย์ ศิลป์ พีระศรี ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต หลังจากจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านได้รับทุนจากกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้ไปศึกษาที่สถาบันRijkskademie van Beeldende Kunsten ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
และต่อมาได้เป็นศิลปินที่ได้ทุนอุปถัมภ์ ของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ให้เป็นศิลปินที่พำนักอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์อย่างถาวร
ชวลิต เสริมปรุงสุข สมรสกับสุภาพสตรีจากประเทศไทย
คุณภาณี มีทองคำ ซึ่งเป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศิลปากรเช่นเดียวกัน และได้รับทุนจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ มาศึกษาต่อเช่นกัน
ชวลิต เสริมปรุงสุข เริ่มทำงานศิลปเป็นอาชีพ จากแนวงานที่เรียกว่า ศิลปสัจจนิยม (realism) ต่อมาก็จะเป็นรูปแบบของงานนามธรรม (abstraction)เวลาผ่านไปกว่า 60 ปี ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในศิลปะนามธรรม ในรูปแบบศิลปะนามธรรมแบบไทย และศิลปะแบบไม่มีเรื่องราวและไม่มีเนื้อหา
จนกระทั่งมีนิทรรศการเดี่ยว ที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร ที่ใช้ชื่อว่า In Amsterdam with Chavalit Soemprungsuk เวลานั้นท่านตัดสินใจที่จะบริจาคงาน ที่เป็นของสะสม มากกว่า 4000 ชิ้น อาทิเช่น ชิ้นงานศิลปะ หนังสือ ของแต่งบ้าน ของใช้ส่วนตัว
รวมทั้งโครงสร้างของอพาร์ตเมนท์ที่สร้างด้วยตนเองที่กรุงอัมสเตอร์ดัมยกให้ก ับรัฐบาลไทย ซึ่งมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นใหม่ ไว้ในการศึกษางานศิลปะ
หลังจากเลิกสะสมสมบัติที่มีอยู่แล้ว ชวลิต เสริมปรุงสุข ได้เตรียมวาระสุดท้ายของชีวิต ในวัย 70 ปี เลิกทำงานชิ้นใหญ่ๆ ทั้งปั้นทั้งวาดมาใช้ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ จากปี พ.ศ. 2556-2562 ท่านได้พัฒนาสัดส่วนของงานดิจิทัล เช่นเดียวกับ การทดลองของการพิมพ์งานดิจิทัลที่ใช้หมึกพิมพ์
ที่งานจะออกมาเพียงเพียงครั้งเดียวในสตูดิโอทำงาน ที่เป็นที่ทำงานส่วนตัว เรียกชื่อว่า อัมสเตอร์ดัม เอทลิเยร์
จำนวนงานที่สะสมและทำมายาวนาน ได้มาแสดงในครั้งแรกในเมืองไทย โดยใช้สถานที่จัดงาน 6 แห่ง เรียกชื่อว่า นิทรรศการ '80+' ซึ่งเป็นการฉลอง อายุครบ 80 ปี ของท่านเอง
ต่อไปเป็นการสัมภาษณ์ของดิฉัน ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563
JY. ขอท่านช่วยเล่าการกลับมาแสดงนิทรรศการ ที่จัดทำพร้อมๆกัน ถึง 6 แห่ง ในระยะเวลาเริ่มต้นของ ปีพ.ศ.2563
CS. หลังจากอายุ 70 ปี ผมก็เริ่มเตรียมตัวตาย และจัดการกับทรัพย์สินที่มี รวมถึงบ้านที่สร้างมาด้วยตนเอง ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ก็โอนกรรมสิทธิ์ ให้กับกระทรวงวัฒนธรรมไทย เพื่อนำมาจัดงานนิทรรศการที่ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ต่อมาผมไม่มีความประสงค์จะทำชิ้นงานใหญ่ๆอีกต่อไป
แต่ผมก็จะไม่หยุดทำงาน ผมเก็บงานทุกอย่างไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ความตั้งใจจริงของผมคือ ต้องการให้คนที่รักในงานศิลปะ และคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ได้มีโอกาสเห็นงานของผม ซึ่งเป็นศิลปินที่ทำงานให้ทั้งประเทศไทยและประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเวลาผ่านมา 60 ปี นิทรรศการ '80+' เป็นงานล่าสุด ทั้ง 6
สถานที่จัดขึ้นของนิทรรศการเดี่ยว เป็นการแสดงนิทรรศการครั้งที่ 5 ในประเทศไทยของผม
JY. กรุณาบอกสถานที่จัดงานในกรุงเทพหน่อยค่ะ
CS. '80+' นิทรรศการศิลปะในประเทศไทยเริ่มขึ้น:
ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 มีสถานที่ต่อไปนี้
บ้านอาจารย์ฝรั่ง ศิลป์ พีระศรี วันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2562
หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน วันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2562
ล้ง1919 16 พฤศจิกายน 2562-10 ธันวาคม 2563
หอธรรมพระบารมี หอศิลป์ร่วมสมัย 14 ธันวาคม 2562 -20 กุมภาพันธ์ 2563
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ( BAAC) 14-26 มกราคม 2563
นำทอง อาร์ต สเปซ 25 มกราคม-15กุมภาพันธ์ 2563
JY. ท่านเห็นอะไรกับคนไทยรุ่นใหม่ที่น่าจะมีมิติใหม่ๆในการพัฒนาและเพิ่มความสน ใจในงานศิลปะ
CS. มุมมองงานศิลปะในประเทศไทยยังต่างจากตะวันตกมาก ผมยังบอกไม่ได้ว่าจะมีมิติใหม่ที่พัฒนาจากคนรุ่นใหม่หรือไม่ ผมอาจจะกล่าวว่า การจัดกิจกรรมสำหรับพวกเขาที่จะไปร่วมงานทุกแห่งที่จัดมีการตั้งรางวัลให้มาร ่วมงานทำไปเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
JY. ขอท่านช่วยเล่าเรื่องส่วนตัวที่ผ่านมา
CS. ชีวิตของผมและภรรยาที่รักกันมามากกว่า 60 ปี รู้จักกัน ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยศิลปากร เธอไม่มีทั้งพ่อและแม่ เมื่อวัยเยาว์ และเราได้ย้ายมาอยู่ต่างประเทศเมื่ออายุน้อย อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เกิดการไม่ยับยั้งระหว่างสองเรา เมื่อเกิดปัญหาเหตุการณ์รุนแรงกับชีวิต
ลูกชายของเราเสียชีวิตในกองเพลิงเมื่ออายุได้สองขวบ ซึ่งเป็นบาดแผลสำคัญในครอบครัว
ก่อนหน้านั้น ผมเคยคิดว่าชีวิตไม่มีจุดจบ เพราะมีคุณพ่อที่อายุยืน จนกระทั่งมีเรื่องเศร้าในครอบครัว เวลานั้นลูกชายอยู่กับเพื่อน ที่มาทำหน้าที่ดูแลเด็กและได้เสียชีวิตพร้อมกัน ผมรู้สึกสับสนมาก ถ้าเปรียบเหมือนคุณพ่อของผมที่อายุยืนมาก และเริ่มคิดได้ว่าคนตายได้ทุกวัน
คุณอาจจะอยู่ได้วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ได้ ผมเตรียมตัวตายและเตรียมจัดการเรื่องต่างๆจนกระทั่งอายุ 70 ปีและรู้สึกตัวว่าอาจจะตายเร็ว ผมเคยผ่าตัดหัวใจ 2 ครั้ง และเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองซึ่งทำการรักษาอยู๋ ซึ่งมีโอกาสที่จะตายได้มาก แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่
หลายๆคนมองผมว่าประสบความสำเร็จมาก ไม่เคยรู้ว่าผมยังมีความเศร้า และได้อยู่ในความทุกข์ที่สุดนั้น เป็นความทรมานใจการเสียลูกไปเป็นความหมดหวังครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งไม่สามารถจะ ลืมได้ แต่เราต้องอยู่กับมัน และมันยากมาก
ใช่ละ เรามีงานศิลปะหลังจากลูกเสียชีวิต ผมก็ได้ทำงานหลายๆแบบ และมันก็เกี่ยวกับความเศร้าโศกและเราก็ทำด้วยความรู้สึกในเวลานั้น เราทำงานศิลปะเพราะเราเกิดมาเพื่อทำงานศิลปะ ศิลปะจะขึ้นอยู่กับชีวิตเราในเวลานั้น มันจะออกมาจากใจ และคุณจะกลบเกลื่อนมันได้อย่างไร เมื่อลูกคุณเสียชีวิต
คุณจะวาดดอกไม้สวยๆ มันเป็นไปไม่ได้
ศิลปะของผมคือชีวิตเมื่อเราทุกข์ เมื่อเราสุข เราป่วย เราสูญเสีย เราถูกรังแก เราเศร้า มันเป็นบางส่วนของศิลปะในมนุษย์ ไม่ใช่ทุกคนจะเจอแต่ความสุข และไม่ใช่ทุกคน จะเห็นแต่ดอกไม้และท้องฟ้า ชีวิตคนเป็นเช่นนี้.
|