วิษณุพงษ์ หนูนันท์ได้รับรางวัลมากมายจากการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการเดี่ยวและนิทรรศการร่วมกับเพื่อน ๆ ตั้งแต่ปี 2550 ถึงปี 2563 เป็นศิลปินที่มีความสุขที่สุดในการปั้นพระพุทธรูปและ รูปปั้นเหมือนจริงของราชวงศ์ไทย ผลงานเหล่านี้เป็นที่นิยมมากและขาย หมดอย่างรวดเร็ว
เขาเริ่มวาดภาพขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย เขาเรียนจบปริญญาตรี ใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบังกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งเคยได้รับรางวัลนักศึกษา ดีเด่น 2 ปีซ้อนในปี 2548 และ 2549 นอกจากนี้ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ยัง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาทัศนศิลป์ ภาควิชาจิตรกรรม
คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผลงานส่วนใหญ่ของเขามีขนาดใหญ่มาก เป็นภาพวาดเหมือนจริง ผสมกับการปั้นโดยใช้สีน้ำมันบนไฟเบอร์กลาส
ดิฉันถามเขาว่า" มีใครทำงานแบบเดียวกับคุณไหม"
"เท่าที่ผมทราบ นี่เป็นความคิดดั้งเดิมของผม" เขาตอบ "บังเอิญว่า พื้นผิวของไฟเบอร์กลาสนั้นเหมาะสม ผมจึงสามารถวาดและปั้นอะไรก็ ได้บนนั้น"
มีศิลปินไม่กี่คนที่สามารถแสดงความรู้สึกในแบบเดียวกับเขา แต่ ละชิ้นเป็นงานสร้างส่วนบุคคล ผู้ชมเข้าใจงานของเขาอย่างชัดเจน แต่มี ความลึกลับซ่อนอยู่ งานศิลปะแต่ละชิ้นมีสองส่วนสื่อความรู้สึก ตัวอย่างเช่นส่วนแรกเป็นภาพวาดของผู้หญิงที่มีสีหน้าเศร้าหรือเหงา
ส่วนที่สองเป็นการปั้นจากจินตนาการของเขาซึ่งสัมผัสได้ ขึ้นอยู่กับ แนวคิดของสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาหรือสิ่งที่สัมผัสได้
"ผลงานแต่ละชิ้นของผม ใช้เวลาในการทำนานมาก เพราะการปั้น และลงสีเรซิ่นมันเป็นการแสดงความรู้สึกโดยตรงอย่างที่บอกไปก่อน หน้านี้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาและนี่คือสิ่งที่ผมต้องการแสดง ขนาดของภาพวาดทุกชิ้น ให้แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดมีความสมบูรณ์ ใน
ตัวเองนอกจากนี้ยังเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ชมและตัวผมเอง เพื่อดูว่าพวกเขาคิดอย่างไรหลังจากดูผลงานที่ผมทำ ในมุมมองของผม เอง การคิดที่ต่างกันนั้น ไม่ถูกหรือผิด"
ดิฉันมีโอกาสได้สัมภาษณ์กับวิษณุพงษ์ หนูนันท์ อีกครั้งหลังจากเวลา ผ่านไปหลายปี เขาบอกว่าเขาได้แสดงความฝันของเขาที่จะปั้นบางส่วน ขณะที่วาดภาพ
JY.ในฐานะศิลปินที่ได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จในการ สร้างงานศิลปะทั้งการวาดภาพและการปั้น กรุณาเล่า ถึงความสุขในการ ทำงาน
WN. ความสุขในการทำงาน คงเป็นสิ่งแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับ ศิลปิน และสิ่งที่ได้ออกมาคือสิ่งสุดท้ายที่ที่เราจะได้รับ จากความ พยายามนั้น ความสุขควรมีอยู่ในทุกงาน ควรเป็นสิ่งที่ควรจะ ตอบกลับ แทนที่จะเป็นเฉพาะในเวลางานเท่านั้น ความปรารถนาล้ำเลิศ ที่ตั้งใจไว้
ในแบบที่ผม คิดเกี่ยวกับงานของ ตัวเอง ซึ่งทำให้มันทำให้งานออกมา ค่อนข้างหลากหลาย
JY.กรุณาแบ่งปันประวัติส่วนตัวของคุณ ผลงานเป็นอย่างไร
WN.ผมเป็นศิลปินอิสระมาโดยตลอด ผมแต่งงานแล้วและตอนนี้มีลูก สามคน สองคนแรกเป็นลูกสาวและคนสุดท้องตอนนี้อายุ 2 ขวบเป็น เด็กผู้ชาย ลูก ๆ ของผมเกิดมา และพบว่า พ่อทำงานศิลปะ แต่ผมกลับ ไม่อยากให้พวกเขาเสียวัยเด็กไปเพราะพวกเขาสนใจในสิ่งที่ผมทำงาน
มีคนถามผม ว่าลูกๆ ของเราทำให้ ตัวผม เหนื่อยขนาดนี้เลยหรือ ถ้าคุณ รู้จักผมจริงๆ คุณจะเห็นว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่ภาระ เราชอบที่จะเห็น พวกเขาเติบโตขึ้นดูพัฒนาการของพวกเขาในแต่ละวัน คำตอบคือมันคือ ความสุข
อยากจะเล่าตัวอย่าง ที่ผ่านมา นี่คือเรื่องราวที่ผมได้รับภาระ ที่ไม่ได้ คาดหมายมาก่อน
วันหนึ่งผมไปทานอาหารที่ ร้านผัดไทย ผม เห็นเด็ก ๆ มารับ ทำงานในร้าน เป็นลูกครึ่งไทย – อินโดนีเซีย ทั้งหมดเจ้าของร้านเล่า ว่าพวกเธอมาจากครอบครัวที่ยากจนและพ่อของเด็กเหล่านั้น เพิ่งจาก ไป พวกเขามาทำงานเพื่อแลกกับ อาหาร แม่ก็ป่วย มีอาการทุกข์ ทรมาน จากความเครียด มีชีวิตที่อึดอัดมาก ผมรู้ว่าพวกเขาจะไม่
สามารถศึกษาต่อได้เพราะไม่มีเงิน ดังนั้นผมตัดสินใจ พยายามช่วยเป็น พื้นฐาน เรื่อง ค่าเล่าเรียน ที่จะทำให้เด็ก ๆ 4 คน มีความสุขอีกครั้ง ผม พยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของ พี่น้อง ทั้งหมดนั้น และได้ ช่วยให้พวก เขาผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ ผมได้เคยพยายาม ตอบแทนสังคม.
ผมนึกถึง เวลาที่ตัวเองอยากเรียน ตัวผมเอง วางแผนชีวิตตลอด การเรียนว่าต้องจริงจังและทุ่มเทพอ ๆ กับงานศิลปะ หากต้องการทราบ ความจริงศึกษาสิ่งที่คุณเห็นความปรารถนาที่จะทำงานให้สำเร็จเพื่อ เอาชนะกรอบความรู้ที่เป็นปัญหาก่อนการทำงานทุกครั้ง ผม ต้องการให้
ผู้คนสนใจและเห็นตัวจริงของผม ในความพยายาม และผม มีความกล้า หาญที่จะสร้างรูปแบบตัวอย่างเช่นรูปปั้นของครอบครัวของ พระมหากษัตริย์ไทย พูดถึง กษัตริย์ ตอนนั้นไม่มีใครกล้าทำงานแบบนี้ บางทีเพราะกลัวทำผิด แต่ผมกลับ คิดอีกแง่หนึ่ง ผมอยากจะลองสิ่งที่ ผมตั้งใจเอาไว้
ความคิดในการสร้างงานนี้เกิดขึ้นเมื่อ ผม รู้ว่าผม กำลังจะเป็นพ่อ คน ตอนนั้นผมเห็นภาพที่พระราชวงศ์ทุกคนเดินจับมือกัน และมันทำให้ ผม นึกถึงความเป็นพ่อ ความเป็นพ่อของแผ่นดินไทยขึ้นมา เผยให้เห็น สองสิ่งซ้อนกันแบบนี้ ผมต้องการสร้างสิ่งนี้
ผมเคยสร้างผลงานเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาก่อน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จัก มีรูปปั้นขนาดเล็กที่เรียกว่า 'ไม่มีชื่อ' ที่ทำจากดินญี่ปุ่น เป็นภาพเมื่อทรงพระเยาว์ยืนเรียงแถวกัน 3 คนคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 และ พระพี่นาง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ วัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โชคดีที่ท่านผู้หญิง หม่อม ราชวงศ์ บุตรี วีระไวทยะ ได้มาเห็น ผมจึงมีโอกาสได้นำเสนองานกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
สำหรับความรู้สึกที่ได้รับตอนนั้นทราบว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรง ทอดพระเนตรงานนี้และทรงโปรด ต่อมาผมได้รับจดหมายขอบคุณจาก สำนักงานเลขานุการส่วนตัวขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอบ รับมา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นมงคลสำหรับตัวผม
JY.กรุณาแบ่งปันมุมมองของคุณเกี่ยวกับการพัฒนาศิลปะในสังคมไทย
WN.ผมจะบอกว่า ความสำเร็จจะเป็นโอกาสแรกของเราในการบรรลุ ชีวิตตามวิถีพุทธ ที่ได้เกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ นี่คือความคิดเห็นของผม ให้กับเพื่อนๆศิลปิน ใครก็ตามที่ อยากฟังความคิดเห็นจากศิลปินอย่าง ผม เราต้องพยายามหลีกหนีจากอัตตาในฐานะตัวตนที่โอ้อวด การได้ยิน
คำวิจารณ์ หรือความคิดเห็น จากนักสะสมงานศิลปะที่เปิดใจกว้างจะเป็น สิ่งที่ดีมากในการทำงาน
ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเคยกล่าวไว้ว่าศิลปินที่เดินทางไปกับ ศาสนาจะสามารถสร้างผลงานได้ไม่จำกัด
เบื้องหลังภาพวาดของผมและส่วนหนึ่งของภาพวาดและการ ผสมผสานของไฟเบอร์กลาส มันเป็นรูปจริงชีวิตจริง และเป็นส่วนหนึ่ง ของสิ่งที่เรียกว่าภาพลวงตา ผมเคยทำสิ่งหนึ่งที่อยากค้นหาตัวเองด้วย วิธีสื่อผสม ผลงานที่มาจากตั้งใจและผู้ชมพอใจ แต่เมื่อพบว่าการ
ทำงานเช่นนี้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผมก็หยุดทำเช่นกันเมื่อ พระที่ ผมเคารพ ท่าน ว.วชิรเมธีเตือนผม ให้รักษาชีวิต โดยหยุดสร้างงาน ด้วยแม่พิมพ์ไฟเบอร์กลาสและใช้ไฟเผา
ภาพวาดล่าสุดของผมเป็นภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 จากด้านหลัง ของพระองค์ท่าน มีรอยเหงื่อบนเสื้อ ... ผมอยากจะถ่ายทอดเรื่องราว คนที่ดูจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครทำงานหนักแค่ไหน
ครั้งหนึ่งนักศึกษาถูกอาจารย์ถามว่าศิลปะมีขอบเขตหรือไม่ บาง คนตอบว่ามี และบางคนก็บอกว่าไม่มีขอบเขต ผมเริ่มเห็นความ หลากหลายที่ขัดแย้งกัน ผมตอบตามความคิด ตามความรู้สึก เราต้องดู ที่เนื้อหาและวิธีคิด ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด แล้วเราจะนำเสนออย่างไร เพื่อให้งานศิลปะจับต้องได้?
ตัวอย่างงาน "ปั่นจักรยาน เพื่อพ่อ" ที่ผมทำเมื่อสิบปีก่อน เป็น ประติมากรรมจากรูปถ่าย ของพระองค์เมื่อยังทรงพระเยาว์. ผมนำ ความรู้สึกของการได้เห็นและมีความสุขมาในองค์ประกอบ พยายาม แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยรสนิยมส่วนตัว บริบทของการทำงานใน สังคมไทยขณะนั้นยังไม่เปิดกว้างสำหรับงานเกี่ยวกับราชวงศ์
ต่อมาผมได้เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวจึงได้สร้างงาน ครอบครัวกษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ทุกพระองค์ทรงจับมือกัน ผมพบว่าทุกคน ได้เห็นรูปปั้นของผมและยิ้ม
ชีวิตของผมเริ่มต้นอย่างง่ายดาย ในทุกมุมของบ้านเต็มไปด้วย ภาพในหลวงและพระราชชนนี เท่าที่ผมจำได้ผมใช้เวลาพิจารณาและ คิดถึงภาพของพระองค์อยู่นานมาก คล้ายกับชีวิตของตัวผมเอง ที่พบ หนทางแล้ว แม้แต่ปฏิทินใหม่และเก่าก็บอกวันที่เดียวกัน แต่วันเดือนปี ต่อจากนี้จะมีค่ามากขึ้นสำหรับผม
ชีวิตที่มีต้นแบบ ทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้ ความฝัน ยิ่งวันเวลาผ่านไปเหตุผลมากมายที่ทำให้ผมรักศิลปะก็อาจเริ่ม จางหายไป แม้จุดเริ่มต้นจะเลือนลาง แต่หนทางไปก็ชัดเจน ผมเป็นคน ธรรมดาคนหนึ่งที่อยากเห็นใครได้เห็น สักครั้งในชีวิต ผมรู้ว่า…ถ้าผมใช้
เวลาฝันนานความฝันก็ยากที่จะเป็นจริง แต่เมื่อโอกาสเล็ก ๆ มาถึงใน รูปแบบของการประกวด ผู้รับรางวัล "ศิลปะแห่งชาติ" จะได้รับเหรียญ จากในหลวง เป็นสิ่งที่ ทำให้ผม ทุ่มเททำงานให้กับงานศิลปะเท่านั้น ตัวผมเองตั้งใจเรียนรู้ศิลปะให้มาก เมื่อได้มีโอกาสได้เข้าเรียน มหาวิทยาลัย
ชีวิตเป็นเรื่องตลก ที่ผมหมกมุ่นอยู่กับขั้นตอนนี้ ขนาดที่ว่าผมเข้า มาเรียนและมีโอกาสได้รับรางวัล รู้เพียงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็น รางวัลที่ได้จากผู้แทนพระองค์ และวันนั้นวันที่ผมได้รับรางวัลดู เหมือนว่าผมจะมาได้แค่ครึ่งทาง หรือผมเดิน มาถึงความฝันที่ช้าเกินไป
ผมไม่กล้าใช้เงินรางวัลด้วยซ้ำ แม้วันนี้เงินจะยังคงสำคัญสำหรับผม แต่ มันก็ไม่สำคัญเท่า "คนที่อยู่บนธนบัตร" แต่ชีวิตของผมต้องดำเนินต่อไป ด้วยความรัก เพราะผมรักงานศิลปะ และผมก็รักพระองค์ท่าน ฟ้าส่งผม มาไกล ผมจะไม่สงสัยเลยว่าผมได้ชีวิตที่มีความหมายจากใคร และผม จะใช้ชีวิตต่อไปเพื่อพบใครสักคนในสักวัน.
หนึ่งในผลงานที่ผมภาคภูมิใจที่สุดคือประติมากรรมพระสิรัฐิ(พระ เศียร) ของเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชธิดาในรัชกาล ที่ 10 ผลงานศิลปะที่น่าทึ่งและความงามล้ำค่า
รูปแบบของการทำงานเป็นงานปั้นเช่นการปั้นพระพุทธรูปได้รับการ ยอมรับมานานแล้วว่าเป็นประติมากรรมที่สวยงามที่สุดในโลก กว่าพันปี สิ่งที่เราเห็นคือความคิดสร้างสรรค์ หลักการพื้นฐานที่ผมได้ทำ ผม ไม่ได้ ปั้นพระพุทธรูป แต่ผมปั้นแนวคิดธรรมะ ที่สามารถจับต้องได้ ที่นี่ สิ่งที่เป็นนามธรรมเป็นข้อกำหนด
ผมเคยเดินทางไปอินเดีย เรื่องราวและแนวคิดวัดได้จากความ สวยงาม แต่ผมขอกลับไปอยู่ที่ธรรมะ คนดูงานจะได้รับมากกว่าภาคแรก พระพุทธรูปที่ถูกปกคลุมไว้จะกลายเป็นสัญลักษณ์ด้วย ทำให้ผู้คนสนใจ และคิดอยู่เสมอผมคิดว่าการเรียนรู้ในการทำงานจะทำให้เกิดสิ่งที่
สวยงามมีความสุข มีความรู้สึกสะดวกสบายและเป็นสิ่งที่นักสะสม ต้องการ
ไม่ว่าผมจะวาดรูป ปั้นพระพุทธรูปหรือปั้นรูปเปลือย ก่อนจะทำงาน ผมจะนั่งสมาธิก่อน ทุกครั้งเพื่อ ขอให้งาน บรรลุความสำเร็จตามที่ตั้งใจ ไว้ ซึ่งเป็นที่มาของความสุขและความมั่นใจ
|