วิมลลักษณ์ บลูม-บุญวิเศษ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 1979 เธอเริ่ม งานแรกที่ IAEA(สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ) ที่กรุงเวียนนา ประเทศ ออสเตรีย หลังจากนั้นไปประเทศสวีเดนเพิ่อศึกษาระดับมหาบัณฑิต และได้งานแรก เป็นผู้ช่วยทูตพาณิชย์ที่สถานทูตไทยในกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดนระหว่างปี 1985-1990 ในช่วงปี 1991-1995 ได้มีโอกาสเข้าทำงานในบริษัท Sweco ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษา ใหญ่ที่สุดในด้านการออกแบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม น้ำ พลังงาน และโครงสร้าง พื้นฐาน
ในปี 1995 หอการค้าไทย-สวีเดนที่กรุงเทพฯ เสนองานให้ในตำแหน่งผู้อำนวยการจึง ได้ย้ายกลับมาประเทศไทยบ้านเกิดด้วยความยินดีที่ได้รับโอกาสเป็นสะพานเชื่อมโยง ระหว่างไทยและสวีเดน แต่เมื่อย้ายกลับมาก็ปรากฏว่ามีงานใหม่อีกงานหนึ่งเข้ามาเสนอ จากคณะกรรมการอุบัติภัยแห่งชาติสวีเดนซึ่งได้แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการโครงการสำหรับ การประเมินความเสี่ยงในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นงานที่ยากมาก วิมลลักษณ์ และนักดับเพลิงอีกสองร้อยกว่าคนจากประเทศไทยถูกส่งสำหรับการฝึกอบรมใน ประเทศสวีเดนและนี่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตตอนที่กลับมายังประเทศไทย
ดิฉันพบและสัมภาษณ์คุณวิมลลักษณ์ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลดาราเทวีเชียงใหม่ในวันที่ ฝนตกพรำๆ เดือนกรกฎาคม
จานีน: ดิฉันได้ตามการทำงานของคุณเป็นเวลาหลายปีและอยากเหตุผลที่คุณ ย้ายกลับไปเมืองไทยเพื่อทำงานร่วมกับคนยากคนจนระดับรากหญ้า
วิมลลักษณ์: ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูโดยครอบครัวที่ทันสมัย คุณแม่ขอดิฉันสนับสนุน ให้ดิฉันทำงานอย่างอิสระและพึ่งพาตัวเอง ดิฉันได้เดินทางไปหลายประเทศและเห็น โลกกว้างตั้งแต่ยังเด็ก ในขณะที่ทำงานกับ IEAE ดิฉันได้เข้าใจความหมายของคำว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อขจัดความยากจนในโลกดิฉั นสนใจเรื่องผู้คนและภาษา สามารถพูดภาษายุโรปได้ 4-5 ภาษา เช่นเยอรมันดัตช์สวีเดน ฟินแลนด์ และ ภาษาอังกฤษ ดังนั้นดิฉันจึงใช้ภาษาเข้าไปเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์และมี ความคิดที่จะเติมเต็มความฝันของฉันเป็นในการเป็นเกษตรกรอินทรีย์และการทำงานกับ คนยากคนจนที่ด้อยโอกาส ดิฉันเห็นธรรมชาติที่ถูกทำลายโดยการเกษตรกรรมแบบใช้ สารเคมี
จานีน: คุณเป็นคนที่มีศักยภาพและการใช้ชีวิตของคุณในอดีตที่ผ่านมาคุณเคยบอก ดิฉันว่าคุณสนุกกับชีวิตของคุณในยุโรปที่คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีเหตุผลอะไรที่ละทิ้ง ความสะดวกสบายกลับมาเมืองไทยคะ
วิมลลักษณ์: ดิฉันได้มีโอกาสทำงานด้านการพัฒนาให้กับสำนักงานเพื่อความร่วมมือ ทางวิชาการ GTZ-เยอรมัน เป็นเวลาหลายปีสำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมเชิง เศรษฐนิเวศ และในช่วงที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจภาคอุตสาหกรรมสูงสุดในปี 2005 ดิฉันได้ตัดสินใจที่จะย้ายจากกรุงเทพฯ และออกมาเป็นเกษตรกรอินทรีย์ ซึ่ง ฟาร์มของดิฉันได้รับการรับรองในปี 2002 เป็นฟาร์มแรกด้วยมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ TAS No.001 ของประเทศไทย และมาตรฐาน JAS-OMIC No.1123 ของประเทศญี่ปุ่น ดิฉันได้แบ่งปันความรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับกลุ่มเกษตรกรต่างๆ โดยเฉพาะ ชาวไทยภูเขาที่อยู่บนภูเขาสูงในประเทศไทยในฐานะอาสาสมัครที่ทำงานมาตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา วันนี้ดิฉันมีบทบาทอื่นคือเป็นผู้จัดการ OneCertประเทศไทย จำกัด สำหรับ การตรวจสอบและการรับรองเกษตรอินทรีย์ บริษัทฯ มีนโยบายในการทำข้อตกลงกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในเชียงใหม่ ดิฉันมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และความพร้อมในทุกๆ ด้าน สามารถมีบทบาทสำคัญที่เป็นครัวของโลกบน พื้นฐานของการทำเกษตรอินทรีย์
จานีน: อะไรคือความท้าทายและอุปสรรคในการขยายการทำเกษตรอินทรีย์และ การตลาดในภูมิภาคเอเชีย
วิมลลักษณ์: ทุกวันนี้ก็เป็นที่ชัดเจนมากขึ้นว่าการผลิตเกษตรอินทรีย์ของเราควรสนอง ความต้องการของตลาดในประเทศและเราไม่เพียงแต่จะผลิตเพื่อการส่งออกเพียงอย่าง เดียวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ตลาดในประเทศของเราใช่แต่ประเทศไทย แต่เป็นทั้ง ภูมิภาคอาเซียนทั้งหมด การค้าเสรีโดยไม่ต้องมีเขตแดนในอาเซียนจากปี 2558/2015 เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับและหาทางเพื่อปรับปรุงการแข่งขันเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ใน อนาคต
จานีน: คุณคิดว่าเกษตรอินทรีย์สามารถแทนที่การทำการเกษตรแบบเคมีทั่วไปได้ไหมคะ
วิมลลักษณ์: แน่นอนค่ะปัจจุบันนี้เรามีปุ๋ยและปัจจัยการผลิตแบบอินทรีย์โดยไม่ต้องพึ่ง สารเคมีเกษตร เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการเกษตรแบบเคมีและการผลิตแบบเชิง เดี่ยว ได้ก่อให้เกิดปัญหามากในโลก เราได้ทำลายดิน ทำลายน้ำพื้นดินของเราและ ระบบนิเวศของเราที่ผ่านมา 50 ปีเต็มไปด้วยสารพิษจากเคมีเกษตร ซึ่งมีคนเป็นจำนวน มากในโลกนี้ทรมานจากโรคต่างๆ ที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และเกษตรกร ยังยากจนและอดอยาก ดิฉันเชื่อว่าการเคลื่อนไหวด้านเกษตรอินทรีย์นี้จะส่งเสริมให้คน ไม่ว่าจะในเมือง หรือชนบทเริ่มมีความปลอดภัยของอาหารและความมั่นคงของอาหาร ของเขาเองอยู่บนพื้น ฐานของการปฏิบัติในฟาร์มแบบเกษตรอินทรีย์ในการผลิตอาหาร ที่มีทั้งคุณภาพและอาหารที่กินเป็นยา
จานีน: คุณหมายความว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่กินเป็นยา
วิมลลักษณ์: ภูมิภาคเขตร้อนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา มีความหลากหลายทาง ชีวภาพ มีพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดในป่าที่มีผลในการรักษาโรค แต่ด้วยการทำการ เกษตรแบบดั้งเดิมที่เราได้ทำลายไปมากจากป่าไม้ของเราที่เราเก็บเกี่ยวอาหารและยา รักษาโรคทั้งสอง การใช้ยาฆ่าแมลงและสารเคมีกำจัดวัชพืชในขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ ทำให้พืชหลายชนิดของตลอดจนนกและสัตว์จะหายไปตลอดกาล ปัจจุบัน ประเทศใน อาเซียนร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการใช้ยาแบบดั้งเดิมเพื่อป้องกันและรักษาโรค ในเวลา เดียวกันพยายามที่จะหาวิธีที่จะรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในป่า แลกเปลี่ยน ความรู้และข้อมูลในกลุ่มประเทศอาเซียนเกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะมีประโยชน์ เพื่อความปลอดภัยทางการบริโภคและการค้าในอนาคต
จานีน: อะไรคืออุปสรรคของเกษตรกรอินทรีย์ในภูมิภาคเอเชีย
วิมลลักษณ์: ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสำคัญสำหรับเกษตรกรไม่เพียงแต่ในเอเชีย เท่านั้น แต่เป็นปัญหาของทั่วโลก ภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติมากในเอเชียวันนี้ นอกจากนี้ยังมีการขาดแรงงานรุ่นใหม่ในภาคการเกษตร ที่มีความรู้ทักษะและความ ชำนาญเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ ขาดเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ และขาดปัจจัยการผลิตที่เป็นอินทรีย์ ในเอเชียยังไม่ได้เริ่มเรื่องการชดเชยจากรัฐบาล ยังไม่มีการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งพื้นดินทางน้ำและทางทะเล ยังคงไม่มีกลไกราคา การตลาดอย่างยั่งยืนสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์
จานีน: อะไรคือข้อเสนอแนะของคุณเพื่อสนับสนุนการเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาค เอเชีย
วิมลลักษณ์: เกษตรกรในเอเชียส่วนใหญ่มีพื้นที่การเกษตรขนาดเล็ก จะต้องมีการ รวมตัวกันเป็นกลุ่มผู้ปลูก เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดอินทรีย์ด้วยกัน รัฐบาลในเอเชีย ควรพิจารณาให้การสนับสนุนทางการเงินและการให้ความช่วยเหลือเรื่องการตลาด สำหรับกลุ่มผู้ปลูกคือการจัดโครงการจับคู่ระหว่างผู้ผลิตและ ผู้ซื้ออินทรีย์อินทรีย์ทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ
จานีน: อะไรที่คุณอยากจะนำเสนอ
วิมลลักษณ์: ดิฉันในฐานะในฐานะผู้ประสานงานของหน่วยงาน OneCertเป็น CB หน่วยงาน สำหรับการรับรองการผลิตเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคเอเชียดิฉันเล็งเห็น ความสำคัญของมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกรที่จะนำผลิตภัณฑ์ของตนไป ยังตลาดทั่วโลก ว่าจะต้องรับรองโดยหน่วยงาน CBซึ่งเป็นการรับรองโดยบุคคลที่สาม ที่มีความน่าเชื่อถือและการยอมรับในหมู่ผู้บริโภค การรับรองเกษตรอินทรีย์ในระดับ สากลสำหรับทั้งผลิตภัณฑ์อาหารและไม่ใช่อาหารเช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง และ ปัจจัย การผลิต สามารถสร้างความเข้มแข็งความเชื่อมั่นในหมู่ผู้บริโภคว่าไม่ว่าพวกเขาอยู่ใน โลกและการติดฉลากแบบสากลจะเป็นที่ยอมรับทั่วโลกโดยไม่มีข้อสงสัย บทบาทของ ดิฉันในฐานะผู้ประสานงานของหน่วยงาน OneCert คือการสนับสนุนให้มีเกษตรกรที่ สนใจมากขึ้น ที่จะนำการผลิตของพวกเขาเข้าสู่กระบวนการผลิตแบบอินทรีย์มันไม่ เพียงที่ดีสำหรับธุรกิจของพวกเขาอย่างยั่งยืน แต่ยังดีต่อสุขภาพของเกษตรกรเอง เกษตรอินทรีย์สามารถลดต้นทุนการผลิต, ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูดิน น้ำ และสภาพ แวดล้อม ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อาหารอินทรีย์ไม่เพียง แต่เพื่อสุขภาพ แต่มีรสชาติที่ดีและมี คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าอาหารทั่วไปที่ผลิตโดยใช้เคมี นอกจากนี้อาหารอินทรีย์ยัง มีอายุการเก็บรักษานานกว่า
จานีน: อะไรที่คุณต้องการมากที่สุด
วิมลลักษณ์: ฉันต้องการให้ผู้บริโภคมีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าที่พวกเขาซื้อ ทั้ง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอาหารและไม่ใช่อาหาร ผู้บริโภคควรจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สุขภาพของพวกเขา และให้พวกเขาตระหนักมากขึ้นเรื่องความปลอดภัยของอาหารและ การตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อความปลอดภัยของอาหารผู้คนส่วนหนึ่งได้เริ่มปลูกผักของ ตัวเองที่บ้านเพื่อการบริโภคของ ดิฉันเคยเห็นเด็กที่โรงเรียนในประเทศสิงคโปร์ปลูกผัก ของตัวเองบนบริเวณดาดฟ้าของตึกและมันเป็นสิ่งที่น่ายินดีที่เด็กๆได้เห็นผลผลิตที่เขา ปลูกมากับมือ
จานีน: คุณหมายความว่าอินทรีย์ดีสำหรับผู้บริโภคทุกคนหรือไม่
วิมลลักษณ์: ใช่ค่ะ อาหารที่ปลอดภัยจะต้องสำหรับทุกคน ดิฉันต้องการทำเกษตร อินทรีย์กลายเป็นเรื่องธรรมดาและราคาสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์มีราคาไม่แพง จากนั้นทำการเกษตรเพาะปลูกเคมีจะน้อยลงและต่อไปข้างหน้า การ เกษตรเคมี เชิงเดี่ยวจะไม่เป็นที่นิยมสำหรับเกษตรกรในภูมิภาคนี้ ดิฉันหวังว่าเกษตรกรทั่วไป ที่มี การผลิตบนพื้นที่ขนาดเล็ก จะมีการทำงานรวมกลุ่มผู้ปลูกเข้าด้วยกัน และในอนาคต พวกเขาจะสามารถจ่ายค่ารับรองเกษตรอินทรีย์ในระดับสากลได้ ในกรณีผลิตเพื่อการ ส่งออก ดิฉันหวังที่จะเห็นเกษตรกรอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น มีคนมากขึ้นที่ส่งเสริมการทำ เกษตรอินทรีย์ ในฐานะนักลงทุน มีคนมากขึ้นที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการรับรอง ในฐานะผู้ตรวจประเมินและผู้ให้การรับรอง ดิฉันต้องการที่จะเห็นผลิตภัณฑ์ในตลาด ได้รับมาตรฐานอินทรีย์มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปอินทรีย์ สิ่งทออินทรีย์ เครื่องดื่มอินทรีย์ชาและกาแฟชนิดพิเศษแบบอินทรีย์ ธุรกิจอินทรีย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความซื่อสัตย์ และตรวจสอบได้ เพื่อให้เราก้าวไปข้างหน้าตลอดทางด้วยความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความไว้วางใจ และ ความเชื่อมั่น นอกจากนี้ดิฉันยังภูมิใจมากที่ได้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอินทรีย์ที่มีความงดงามบนพื้นฐานของความยั่งยืนนี้ ดิฉัน ต้องขอกราบขอบพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงของ ชนชาวไทยสำหรับงานหนักที่พระองค์ได้กระทำและ ความมุ่งมั่นตลอดพระชนม์ชีพที่ ผ่านมา เป็นตัวอย่างให้กับชีวิตของดิฉันที่เทิดทูนอย่างสูงสุด พระองค์ไม่เพียงแต่จะ ช่วยพสกนิกรของพระองค์เท่านั้นแต่ยังแผ่ขยายออกไปช่วยชาว โลกให้เข้าใจถึง ปรัชญาชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงความปลอดภัยของอาหาร ความมั่นคงด้านอาหาร สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อขจัดความอดยากและความยากจนให้หมดไปจากโลกนี้
|