นิทรรศการเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชของประเทศไทย เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองการครองศิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระองค์ท่านในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ผู้คนได้มาเยี่ยมชมงาน นิทรรศการอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี กรุงเทพมหานคร ข้อความจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ดึงดูดให้ประชาชนไปเยี่ยมชมงานนิทรรศการ เขียนไว้มีใจความว่า"... แล้วคุณจะรักและเคารพพระองค์ท่าน..มากกว่าเดิม" งานนิทรรศการครั้งนี้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นกิจกรรมต่างๆและ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีภาพถ่ายฝี พระหัตถ์ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ ปรัชญาในการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปัญหาเรื่องดินและวิธีการแก้ไข เศรษฐกิจพอเพียงและ ทฤษฎีใหม่ ส่วนที่สองคือพระราชประวัติ ส่วนที่สามคือเวทีการแสดงขนาดใหญ่ ที่อิมแพค อารีนา
มหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระมหาชนก นั้นเริ่มแสดงตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม – 11 มิถุนายน 2549 การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ได้รับแรง บันดาลใจมาจากชาดกที่บ่งบอกประวัติชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเน้นในเรื่อง คุณธรรมในเรื่องความพากเพียรเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการ บอกเล่าผ่านปริศนาธรรม พื้นที่ทั้งหมดของอารีนาถูกปรับเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรโดย ใช้เทคนิคแสงและเสียงอันทันสมัย
บทเพลงได้รับการเรียบเรียงและกำกับโดยคุณ บรู๊ซ แกสตัน นักประพันธ์เพลงจาก แคลิฟอร์เนียผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย เขาได้เขียนบทเพลงประกอบเป็นเวลา 65 นาที ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์ นราพงษ์ จรัสศรีเป็นผู้กำกับศิลป์และท่าเต้น และโกมล พานิชพันธุ์ ออกแบบเครื่องแต่งกาย การร่ายรำที่ประยุกต์มาจาก ตะวันตกได้นำเข้ามาใช้หลายครั้ง ลองจินตนาการถึงดินแดนมหัศจรรย์ มีแสงและ เสียง ทหาร400 คนจากกองทัพไทยแสดงเป็นคลื่นในมหาสมุทร มีผ้าที่ถักทอเป็นพิเศษ กว่า 3,000 เมตร สายสลิงพิเศษที่สั่งมาจากฝรั่งเศส และเทคนิคแสงและเสียงจาก ญี่ปุ่น
มหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติพระมหาชนก เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงานนิทรรศการ ครั้งนี้ ผู้ชมไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าตั๋วเข้าชม ทุกคนเข้าชมฟรี แต่ถ้าต้องการจองที่ นั่งก็ต้องชำระเงิน 100 บาท สำหรับ 1ท่าน รายได้ทั้งหมดจะถูกส่งมอบให้กับ โครงการต่างๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรรณศักดิ์ สุขีเป็นผู้กำกับการแสดงและเป็นผู้เขียนบท เขาได้ กล่าวถึงงานของเขา กับดิฉันว่า
"เรากำลังทำงานหนักด้วยความพากเพียรเช่นเดียวกับพระมหาชนกผู้ซึ่งว่ายน้ำเป็น เวลา7 วัน7 คืนดูเหมือนว่าพวกเราต้องอยู่ในมหาสมุทรต่อไปเพราะรัฐบาลไทยได้ ประกาศให้ขยายเวลางานนิทรรศการไปอีกหนึ่งสัปดาห์ การแสดงของเราเป็น ไฮไลท์ของงาน หวังว่าคุณจะมาชมการแสดงได้นะครับ คุณต้องมาเห็นด้วยตา ตนเองว่า ผู้คนรู้สึกเสียใจจนน้ำตาไหล ที่ทราบว่าตั๋วจำหน่ายหมด เป็นเพราะ ความรักของพวกเขาที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำพาพวกเขามาที่นี่"
คุณผุสชา โทณะวณิก ผู้ช่วยประธานฝ่ายประธานฝ่ายบริหารของJSL ได้กล่าวไว้ ว่า "เราพยายามเป็นอย่างมากที่จะถ่ายทอดคติธรรมที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ แต่ที่ จริงแล้วนั้นยากที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในการแสดง 45 นาที มีประเด็นหลักของเรื่อง 2 อย่างที่ถูกเลือกมาจัดแสดงบนละครเวที อย่างแรกคือ การที่พระมหาชนก พยายามว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร และอีกอย่างคือการที่พระมหา ชนกเฝ้ามองดูประชาชนของตนทำลายต้นมะม่วงและพระองค์ตัดสินใจว่าจะออก บวช การแสดงถูกแบ่งออกเป็น 9 องค์ เริ่มด้วยฉากที่เรือขนาดยักษ์ที่พระมหาชนก โดยสารอยู่ออกจากท่าเรือเดินทางไปในมหาสมุทรก่อนที่พายุจะจมเรือ
คุณผุสชายังกล่าวต่อไปว่า"พื้นที่ทั้งหมดของอารีนาจะถูกดัดแปลงให้เป็น มหาสมุทรโดยใช้เทคนิคแสงและเสียงอันทันสมัย ผู้ชมจะรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด" นายอัสดาวุธ เหลืองสุนทร นักแสดงผู้รับบทพระมหาชนกกล่าวว่า"สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่ายากและน่าประทับใจมากสำหรับฉากนี้ ผมต้องเชื่อมั่นว่ามือที่อยู่ด้านใต้นี่ไม่ ยอมให้ตัวผมร่วงหล่นลงไป"
การแสดงถูกแบ่งออกออกเป็น 9 องค์ ดังต่อไปนี้
องค์ 1 : เดินทางจากท่าเรือเป็นระยะทาง 700 โยชน์
พระมหาชนกทรงเดินทางข้ามมหาสมุทรไปยังเมืองมิถิลาด้วยเรือเดินสมุทร ขนาดใหญ่ ในเวลานั้นพายุและคลื่นยักษ์ได้พังเรือ ทุกผู้คนจมน้ำกลายเป็นอาหาร ของปลาและเต่ายกเว้นพระมหาชนก พระองค์เสด็จไปทรงยืนที่ยอดเสากระโดง ทรงกำหนดทิศว่าเมืองมิถิลาอยู่ทิศนี้ก็กระโดดจากยอดเสากระโดงล่วงพ้นฝูงปลา และเต่า จำเดิมแต่นั้นพระมหาชนกอยู่ในคลื่นซึ่งมีสีดังแก้วมณีเหมือนท่อนต้น กล้วยทอง ข้ามมหาสมุทรด้วยกำลังพระพาหา
อุทกูปมสูตรที่ 5 (บุคคลเปรียบด้วยน้ำ 7 ประเภท)
1. จมลงไปครั้งเดียว จมไปเลย ได้แก่บุคคลผู้ประกอบไปด้วยอกุศลธรรมฝ่ายต่ำ ล้วน (บาปชน) 2. โผล่ขึ้นแล้วจม ได้แก่บุคคลผู้มีคุณธรรม แต่คุณธรรมเสื่อมไป (ปุถุชน) 3. โผล่ขึ้นแล้ว ลอยอยู่ได้ ได้แก่ผู้มีคุณธรรมไม่เสื่อม (กัลยาณปุถุชน) 4. โผล่ขึ้นแล้ว เห็นแจ่มแจ้ง เหลียวดู ได้แก่พระโสดาบัน (ผู้แรกถึงกระแสธรรม) 5. โผล่ขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ได้แก่พระสกทาคามี (ผู้มาสู่กามภพอีกครั้งเดียว) 6. โผล่ขึ้นแล้ว ไปถึงที่ตื้น หยั่งพื้นทะเลได้ ได้แก่พระอนาคามี (ผู้ไม่มาสู่กามภพอีก) 7. โผล่ขึ้นแล้ว ข้ามฝั่งได้ ยืนอยู่บนบก ได้แก่พระอรหันต์ (ผู้ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ)
องค์ 2 : ความพยายาม
พระมหาชนกทรงว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน มีปูทะเลยักษ์คอย ช่วยพยุงไม่ให้พระองค์ทรงจมลงในมหาสมุทร
"...สิ่งที่มิได้คิดไว้ อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งที่คิดไว้ อาจพินาศไปก็ได้ ความร่ำรวย ทั้งหลายของหญิงหริอชาย มิได้สำเร็จด้วยเพียงแค่เพียงคิดเท่านั้น"
"หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ ลงทะเลพ้นปลาและเต่า ก็ว่ายข้าม มหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราวๆ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเหยียบพื้นทะเลได้คล้ายๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่หกในจำพวกเจ็ดบุคคล (อุทกูปมสูตรที่ 5)"
อันที่จริงแล้ว ที่แท้เป็นปูทะเลยักษ์นั่นเองที่ช่วยพระองค์ นั้นเป็นเพราะบุญญาธิการ แห่งความพากเพียรของพระองค์นั่นเอง 400 คนจากกองทัพไทยแสดงเป็นน้ำที่พระมหาชนกทรงแหวกว่ายอยู่
องค์ 3 : นางมณีเมขลา
ในกาลนั้นท้าวโลกบาลทั้งสี่มอบให้เทพธิดาชื่อมณีเมขลาเป็นผู้ดูแลรักษาสัตว์ ทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณ มีบำรุงมารดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่สมควรจะตายใน มหาสมุทร นางมณีเมขลามิได้ตรวจตรามหาสมุทรเป็นเวลาเจ็ดวัน เล่ากันว่านาง เสวยทิพยสมบัติเพลิน ก็เผลอสติมิได้ตรวจตรา บางอาจารย์กล่าวว่านางเทพธิดาไปเทวสมาคมเสีย นางคิดได้ว่า :
"วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่เราไม่ได้ตรวจตรามหาสมุทร มีเหตุอะไรบ้างหนอ" เมื่อนางตรวจดู ก็เห็นพระมหาชนก จึงคิดว่า : "ถ้ามหาชนกกุมารจักตายในมหาสมุทร ... เราจักไม่ได้เข้าเทวสมาคมเป็นแน่แท้"
องค์ 4 : ในมหาสมุทร
คิดฉะนี้แล้ว เธอจึงตกแต่งสรีระ สถิตอยู่ในอากาศอยู่ไม่ไกลจากมหาชนก เพื่อที่จะ ทดสอบพระมหาชนก จึงได้กล่าวคาถาแรกว่า: "นี่ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่งก็อุตสาหพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรท่านรู้อำนาจ ประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้หนักหนา" ครั้งนั้น พระมหาชนกทรงดำริว่า: "เราว่ายข้ามมหาสมุทรมาได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ไม่เคยเห็นเพื่อนของเราเลยนี่ใครหนอ มาพูดกับเรา" เมื่อแลไปในอากาศก็ทอดพระเนตรเห็นนางมณีเมขลา พระองค์จึงกล่าวคาถาที่สอง ไปว่า : "ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงค์แห่งความเพียร เพราะฉะนั้นถึงจะมองไม่เห็นฝั่งเราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร" นางมณีเมขลาปรารถนาจะฟังธรรมกถาจากพระมหาชนก จึงกล่าวคาถาอีกว่า: "ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏแก่ท่าน ความพยายามอย่าง ลูกผู้ชายของท่านก็เปล่าประโยชน์ท่านไม่ทันถึงฝั่งก็จักตาย" ครั้งนั้น พระมหาชนก ตรัสก้บนางมณีเมขลาว่า: "ท่านพูดอะไรอย่างนั้น เราทำความพยายาม แม้ตายก็จักพ้นครหา" ตรัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า: "บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง" เวลานั้น นางมณีเมขลาได้กล่าวต่อพระมหาชนกว่า: "การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความ ลำบากเกิดขึ้น การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใดจนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้นจะมีประโยชน์อะไร" เมื่อนางมณีเมขลากล่าวอย่างนี้แล้ว พระมหาชนกจึงกล่าวต่อนางมณีเมขลาให้นาง ยอมจำนนต่อถ้อยคำอย่างสิ้นเชิง จึงได้ตรัสคาถาต่อไปว่า: "ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำจะไม่ลุล่วงไปได้จริงๆ ชื่อว่าไม่รักษาชีวิต ของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลของความประสงค์ของตนจึงประกอบการ งานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผล แห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ จมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยัง ว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆเรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จัก ทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร" นางมณีเมขลาได้สดับพระวาจาอันมั่นคงของพระมหาชนกจึงกล่าวสรรเสริญด้วย คาถาว่า : "ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซึ่ง ประมาณมิได้เห็นปานนี้ ด้วยกิจคือความเพียรของบุรุษท่านนั้นจงไปในสถานที่ที่ใจ ของท่านยินดีนั้นเถิด" ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว นางมณีเมขลาได้ถามว่า"ข้าแต่ท่านบัญฑิตผู้มีความบาก บั่นมาก ข้าพเจ้าจักนำท่านไปที่ไหน"พระมหาชนกตรัสตอบว่า"มิถิลานคร"นางจึง อุ้มพระมหาชนกขึ้น ดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองแนบทรวง พาเหาะ ไปในอากาศ เหมือนคนอุ้มลูกรักฉะนั้น พร้อมกันนั้นนางมณีเมขลาได้กล่าวคาถาเพิ่มเติมไปว่า: "ข้าแต้บัญฑิต วาจาอันมีปาฏิหาริย์มิบังควรหายไปในอากาศ ท่านต้องให้สาธุชน ได้รับพรแห่งโพธิญาณจากโอษฐของท่าน ถึงกาลอันสมควร ท่านจงตั้ง สถาบันการศึกษา ให้ชื่อว่าโพธิยาลัยมหาวิชชาลัย ในกาลนั้นท่านจึงจะสำเร็จกิจ ที่แท้"ฉากนี้ใช้สายสลิงจากฝรั่งเศสและผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยคอยดูแล เรื่องการป้องกันอุบัติเหตุ
องค์ 5 : มิถิลานคร
ไม่มีกษัตริย์ในมิถิลานครเพราะพระโปลชนกเสด็จสวรรคต ฝ่ายปุโรหิตจึงได้ปล่อย ราชรถ (ผุสสรถ) เพื่อเสี่ยงทาย ราชรถมาหยุดอยู่ที่พระมหาชนกผู้ที่นอนหลับใน สวนมะม่วง พระมหาชนกจึงได้ครองเมืองมิถิลา พระมหาชนกได้ทำตาม ทศพิธราชธรรมทั้งสิบประการได้ครบถ้วน ยังผลให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขเป็น เวลานาน
องค์ 6 : มรรคา
พระมหาชนกประทับบนคอช้างเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยราชบริพารเป็นอัน มากจนมาถึงประตูพระราชอุทยาน ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีต้นมะม่วงสอง ต้น มีใบเขียวชอุ่ม ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน ใครๆไม่ อาจเก็บผลจากต้นนั้น เพราะผลอันมีรสเลิศอันพระราชายังมิได้เสวย พระมหาชนก ประทับบนคอช้างทรงเก็บเอาผลหนึ่งเสวย ผลมะม่วงนั้นพอตั้งอยู่ที่ปลายพระชิวหา ของพระมหาชนกปรากฏดุจโอชารสทิพย์ พระมหาชนกทรงดำริได้ว่า"เราจักกินให้ มากเวลากลับ" แล้วจึงได้เสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน คนอื่นๆ มีอุปราช จนไปถึงคน รักษาช้าง รักษาม้า รู้ว่าพระราชาเสวยผลมีรถเลิศแล้วก็เก็บเอาผลมากินกัน ฝ่ายคน เหล่าอื่นยังไม่ได้ผลนั้นก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำเสียไม่มีใบ ต้นก็หักโค่นลง มะม่วงอีกต้นหนึ่งตั้งอยู่งดงาม ดุจภูเขามีพรรณดังแก้วมณี พระมหาชนกเสด็จออก จากพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเหล่าอมาตย์ว่า: "นี่มันอะไรกัน"เหล่าอมาตย์กราบทูลว่า "มหาชนทราบว่าพระองค์เสวยผลรสเลิศ แล้ว ต่างก็แย่งกันกินผลมะม่วงนั้น"
พระมหาชนกตรัสถามว่า"ใบและวรรณะของต้นนี้สิ้นไปแล้ว ใบและวรรณะของต้น นอกนี้ยังไม่สิ้นไป เพราะเหตุไร"อมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า"ใบและวรรณะของ อีกต้นหนึ่งยังไม่สิ้นไปเพราะไม่มีผล"พระมหาชนกทรงสดับดังนั้น ได้เกิดความ สังเวช ทรงดำริว่า: "ต้นนี้มีวรรณะสดเขียวตั้งอยู่แล้วเพราะไม่มีผล แต่ต้นนี้ถูกหักโค่นลงเพราะมีผล แม้ ราชสมบัตินี้ก็เช่นกับต้นไม้มีผล บรรพชาเช่นกับต้นไม้หาผลมิได้ ภัยย่อมมีแก่ผู้มี ความกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีความกังวล เราจักไม่เป็นเหมือนต้นไม้มีผล จักเป็น เหมือนต้นไม้หาผลมิได้" พระมหาชนกเสด็จกรับพระนคร เสด็จขึ้นปราสาท ประทับที่พระทวารปราสาท ทรงมนสิการถึงวาจาของนางมณีเมขลาในกาลที่นางอุ้มพระมหาชนกขึ้นจาก มหาสมุทร พระมหาชนกทรงจดจำคำพูดของนางมณีเมขลาไม่ได้ทุกถ้อยคำ เพราะ พระสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน แต่ทรงทราบว่า นางมณีเมขลากล่าวชี้ ว่าพระองค์จะยังเข้ามรรคาแห่งความสุขไม่ได้ หากไม่กล่าวธรรมให้สาธุชนได้สดับ
องค์ 7 : การฟื้นฟูต้นมะม่วง
พระมหาชนกพระราชทานเก้าวิธีในการรักษาต้นมะม่วงที่ตายแล้ว ทุกผู้คนต่างทำ ตามคำแนะนำอันมีค่า ต้นมะม่วงต้นนั้นจึงกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยวิธีการ ดังต่อไปนี้;
1. เพาะเม็ดมะม่วง 2. ถนอมราก 3. ปักชำกิ่ง 4. เสียบยอด 5. ต่อตา 6. ทาบกิ่ง 7. ตอนกิ่งให้ออกราก 8. รมควันต้นที่ไม่มีลูก 9. ทำ "ชีวาณูสงเคราะห์"(การเพาะพันธุ์ในหลอดแก้ว)
องค์ 8 : การก่อตั้งปูทะเลมหาวิชชาลัย
นางมณีเมขลาเคยให้พระองค์ตั้งสถาบันการศึกษา ให้ชื่อว่าปูทะเลย์มหาวิชชาลัย แม้ในกาลนั้นก็จะสำเร็จกิจ และได้รับมรรคาแห่งบรมสุข พระมหาชนกทรงดำริว่า: "ทุกบุคคล จะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร กษัตริย์ หรือสมณะต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น"
พระมหาชนกได้กล่าวกับพราหมณ์คนหนึ่งว่า"เมื่อนางมณีเมขลาอุ้มเราขึ้นจาก ทะเล นางได้กล่าวว่า ท่านต้องทำให้สาธุชนได้รับพรแห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ ของท่าน ถึงการอันสมควร ท่านจงตั้งมหาวิชชาลัย ในเวลานั้นเราเศร้าหมองด้วย น้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน"
พระมหาชนกกล่าวต่อไปอีกว่า"นับแต่อุปราช จนถึงคนรักษาช้างรักษาม้าและนับ แต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ล้วนจาริกอยู่ในโมหภูมิ ทั้งสิ้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้วิชาการ ทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา พวกนี้ ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง"
พราหมณ์ท่านนั้นได้ยินแล้วจึงตอบว่า"พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ ที่ดีใว้ใจใด้และจะประดิษฐานปูทะเลย์มหาวิชชาลัยได้แน่นอน"
องค์ 9 : บทส่งท้าย
ทุกผู้คน นางมณีเมขลา และเทวดาอื่นๆ ต่างมาสรรเสริญชื่นชมยินดีต่อคุณงาม ความดีที่แท้จริงของพระมหาชนก หลังจากนั้นพระองค์ตัดสินใจเข้าสู่มรรคาแห่ง ความสุข
การแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องพระมหาชนก ผลงานทาง วรรณกรรมชิ้นล่าสุดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของประเทศ ไทย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชาดกที่กล่าวถึงชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า เน้น ในเรื่องความเพียรเพื่อเป็นตัวชี้นำเข้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการใช้ปริศนาธรรม หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ในช่องการครองศิริราชสมบัติครบ 50 ปีของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว
มุมมองอันน่าสนใจเกี่ยวกับความพยายามของคนผู้หนึ่งซึ่งไม่รู้อนาคตเมือเรือ อัปปางหรือเมือพระมหาชนกเห็นประชาชนของพระองค์ทำลายต้นมะม่วงและทุ่ม เถียงกันจนพระองค์อยากจะออกบวช แล้วพระมหาชนกจึงนึกถึงการสนทนาระหว่าง พระองค์กับนางมณีเมขลาว่า ยังไม่สามารถเข้าสู่มรรคาแห่งความสุขในตอนนี้ได้ พระองค์ดำริว่าทุกคนต้องทำหน้าที่ก่อน ทรงยืนหยัดอยู่เคียงข้างประชาชนชาว มิถิลานครและช่วยแก้ปัญหาและความขัดแย้ง การฟื้นฟูต้นมะม่วงเป็นแผนการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงดูแลโครงการกว่า 3,000 โครงการทั่วประเทศ หลายๆ โครงการถูกสร้างขึ้นมาแก้ไขปัญหาทางด้านเกษตรกรรม คำสอนของพระองค์ท่าน ถูกรวบรวมอยู่ในสถาบันที่มีชื่อว่า ปูทะเลมหาวิชชาลัย นี่คือมหาวิทยาลัยสำหรับ ทุกคน ที่เน้นในเรื่องธรรมชาติและการใช้ความรู้เพื่อประโยชน์สำหรับทุกคน พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง พระมหาชนกนั้นเขียนขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2520 -2531 และใช้เวลา 8 ปี สำหรับศิลปินชั้นนำของประเทศในการวาด ภาพประกอบ และถูกตีพิมพ์จำหน่ายในปี พ.ศ. 2539 ในช่วงเฉลิมฉลองกาญจนา ภิเษก ครบรอบ 50 ปีการครองศิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปีนี้ พ.ศ. 2549 ปีเฉลิมฉลองการครองศิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงได้รับเกียรติจากองค์การสหประชาชาติรับมอบรางวัล Human Development Lifetime Achievement Award นอกจากนี้ พระองค์ยัง เคยได้รับรางวัล Health-for-All Gold Medal จากองค์การอนามัยโลก ในปี พ.ศ. 2535 และรางวัล the Food and Agriculture Organization's Agricola Medal ในปี พ.ศ. 2538
|