มารินสา จุลเสวก มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย คุณปู่ของ
เธอคือ พระยาสิริ จุลเสวกซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพย์สิน ดูแลทุกอย่าง ที่เป็นสมบัติ
พัสถานของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ อย่างซื่อสัตย์ ไม่ขาดตก
บกพร่อง เมื่อยังเด็กมากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ถูกส่งไปเรียน
ที่สหราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ใช้เวลาช่วงวัยรุ่นเข้าเรียนที่โรงเรียนแฮร์โรว์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และ
ปริญญาโทจาก Trinity College มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พระองค์เป็นผู้เขียน
หนังสือสิบสามเล่ม รวมถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์จักรี ชีวประวัติเกี่ยวกับ ริชาร์ด
ซีแมน นักขับรถแข่งและอัตชีวประวัติ หนังสือที่มีชื่อเสียงเล่มหนึ่งของ พระเจ้า
วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เขียนเมื่อปี 2478 " Wheels At Speed"
บันทึกการทดลองครั้งแรกของร้อยเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุ
เดช ที่เรียกกันในนาม พระองค์ชายพีระ ซึ่งมีศักดิ์เป็น พระภาดา (ลูกพี่ลูกน้อง)
ของพระองค์ ในฐานะนักแข่งรถ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นพระโอรส ของการเสกสมรส
ระหว่างสาวงามชาวรัสเซียจากเมือง เคียฟ เอคาเทอรินา อีวานอฟนา เดสนิทสกี
และเจ้าชายตะวันออกคือ จอมพล สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ แห่งสยามซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชโอรสคนโปรด
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ไม่มีพระโอรสของกษัตริย์สยาม
คนใดเคยแต่งงานกับชาวต่างชาติมาก่อน) ท่านคุณปู่ของมารินสา จุลเสวก เป็นที่
ปรึกษาทุกเรื่อง ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และพระองค์ท่าน
ไว้วางใจมาก ทรงพระราชทานนามสกุล ที่มาจากชื่อของพระองค์ท่าน พระองค์
เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงอภิเษกสมรสกับอลิซาเบธ ฮันเตอร์ ซึ่งให้กำเนิดบุตรสาวคน
หนึ่งชื่อ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์
*
การเดินทางไปทำงาน และพำนักอยู่ในต่างประเทศของ มารินสา จุลเสวก
เป็นเวลาที่รุ่งเรือง เมื่อนิตยสารชื่อดังจากต่างประเทศเริ่มเข้ามาในประเทศไทย
และ ตีพิมพ์เป็นภาษาไทยเช่นกัน การสร้างภาพยนตร์มีวงดนตรี ศิลปะแฟชั่น
เครื่องแต่งกาย การแสดงละคร งานเขียน และภาพวาด ที่ได้รับอิทธิพลจาก
การศึกษาจากสถาบันต่างๆ การเคลื่อนไหวในชาติไทย ทางงานศิลปะ ในสมัยนั้น
รุ่งเรืองพอ ๆ กับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย
มารินสา จุลเสวกเดินตามความฝันของเธอในการเป็นนางแบบเริ่มต้นใน
ปารีส ในตอนปลายของปี 1980 เธอเป็นนางแบบชั้นนำและทำงานในบริษัท
โฆษณาด้วย เธอทำงานทั่วยุโรปโดยเฉพาะในเยอรมนี ขณะนี้ เธออาศัยอยู่ใน
เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนีมากว่า 40 ปีและมีความรู้สึกเสมือนเมืองมิวนิกเป็น
บ้านของเธอเอง
เธอยังคงเดินทางและทำงานด้านศิลปะ เป็นผลงานภาพวาดของเธอที่ยึด
ครองชีวิตของเธอ การออกแบบงาน ที่มีสีสันของเธอได้รับแรงบันดาลใจจาก
ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิในยุโรปที่มีสีสันสวยงาม เธอชอบถ่ายรูป เมื่อได้มีโอกาส
เดินทาง ไปเที่ยวและมีโอกาส เธอจึงเลือกที่จะเพิ่มพูนความรู้ในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
เธอชอบเวลาที่ดอกไม้บานหลังจากหิมะละลาย ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทาง
JY.
กรุณาเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับชีวิตของคุณในฐานะศิลปินอิสระในเวลาที่ผ่านมา
MC.
ดิฉันไม่ได้อยู่ในความฝันของฉัน มันดำเนินไปตามเวลากับสิ่งที่เกิดขึ้นใน
ขณะนี้ หัวใจของดิฉันโอนเอนไปตามสิ่งที่ดิฉันอยากทำสิ่งที่ดิฉันใฝ่ฝัน
เมื่อตอนเป็นเด็ก ดิฉันอยากเป็นนักเต้น นักแสดง นักบัลเล่ต์ที่สวยงามอะไรทำนอง
นั้น ดิฉันอยากเป็นแอร์โฮสเตสใส่กระโปรงสวย ๆ ดิฉันเลือก
เข้าเรียนที่วิทยาลัย
ช่างศิลป์เพราะมันดูเท่ ดิฉันอยากไว้ผมยาวอยากแต่งตัว ดิฉันเห็นช่างทำเสื้อผ้า
ดิฉันก็อยากจะแต่งตัวสวยๆ ดิฉันเห็นชาวต่างชาติวาดภาพริมถนน และวางขายบน
ถนนดิฉันก็ชอบบรรยากาศ ของการทำงานเช่นนั้น
เวลาที่ผ่านมา ดิฉันชอบดูหนังฝรั่งมากกว่าไทย ภาพสวยชวนฝัน บรรยากาศ
ต่างประเทศหน้าตาและรสชาติเปลี่ยนไปตามฤดูกาลซึ่งเมืองไทยไม่มี ภูเขาหิมะสี
ขาว เนินเขาสีเขียวใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง แสงแดดส่องผ่านสวยงามมี
เสน่ห์น้ำไหลธารน้ำแข็งในตอนเช้ามีเมฆบาง ๆ ลอยอยู่ในทุ่งนา เหมือนฝันจริงๆ
เมื่อได้มีโอกาสเห็นของจริงก็ยิ่งหลงใหล
ชีวิตของดิฉันเข้าสู่วงการนางแบบกับดีไซเนอร์ ท่านหนึ่ง ดิฉันเห็นแววตาของเขา
ต่อมา มีคนมาชวนฉันไปทำงาน ชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น มันคือการออกแบบลายผ้าการ
ออกแบบเสื้อผ้าของเรา หลายปีผ่านไปและดิฉันก็เป็นอิสระ ดิฉันมีโอกาสได้ไป
ร่วมงานถ่ายทำภาพยนตร์ที่เยอรมัน จากนั้นดิฉันก็ตัดสินใจติดตามผู้กำกับ
ภาพยนตร์กลับไปที่เยอรมันอีกครั้ง เริ่มวาดรูปและขายออกไป ทีละหน่อย
การมอบรูปวาด เป็นของขวัญให้เพื่อนแทนที่จะเป็นของที่ต้องซื้อไม่ต้องคิดว่าจะ
เข้าวงการอีกต่อไป รู้สึกตัวเองว่าดิฉันเป็นแค่นางแบบคนอื่นที่นี่ (เยอรมนี) เพราะ
ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันอาจจะตัวเล็กไปถ้าเทียบ สำหรับชาวต่างชาติ โชคดีที่เราพบกับ
คำชักชวนอีกครั้ง ดิฉันได้ลองทำและเป็นเวลาสิบปีในอุตสาหกรรมแฟชั่นที่นี่
ในช่วงนั้นชีวิตสมรสของเราสั้นลงและเราเป็นคนแปลกหน้า เวลานี้เราเป็นเพื่อนที่
ดีที่สุดแล้ว เป็นปีที่ 32 แล้วและฉันพอใจกับการอยู่คนเดียว
เราไม่ได้เป็นคู่กันแค่ เพื่อนสนิทที่รักกัน ... ค่ะ
JY.
กรุณาบอกเราเกี่ยวกับการศึกษาของคุณ และครอบครัวของคุณ
MC.
คุณพ่อของดิฉันถูกย้ายไปต่างจังหวัด คุณแม่มีพี่ชายอยู่แล้วที่นั่น พี่น้องของ
ดิฉันเกิดที่นั่น อำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา. คุณพ่อของฉันเป็นผู้ช่วยแพทย์
ทหารบกที่ทำงานในสุขศาลา (สถานพยาบาล) แม่ของดิฉันเป็นครู ตอนที่พี่ชาย
ของดิฉันเรียนชั้นอนุบาลคุณแม่ของดิฉันสอนหนังสือ พวกเขาด้วยตัวเองเพราะ
ตอนนั้นโรงเรียนประจำจังหวัดอาจไม่มีคุณภาพดีนัก ดังนั้นเราจึงเปิดการเรียนการ
สอนด้วยตัวเอง ลูกของข้าราชการที่ย้ายมาจากกทม. มาเรียนหนังสือกับคุณแม่
จาก 7-8 คน เพิ่มมาเป็น สิบยี่สิบคน
คุณแม่ของดิฉันยังทำฟาร์มไก่และเป็ด เมื่อเด็ก ๆ ต้องเริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 1 เธอก่อตั้งโรงเรียนเล็ก ๆ ชั้นป. 1 - ป. 4 โดยเช่าอาคารสมาคมจีน ไม่ใหญ่
พอที่จะกลายเป็นห้องเรียนสี่ห้องได้ เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ได้ขยายเป็นชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 7 ชื่อโรงเรียน กฤษณาวิทยา ตามชื่อคุณแม่ของเรา
กฤษณา จุลเสวก พี่ชายของฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ
มัธยมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนคุณแม่ของดิฉัน แม่ส่ง ดิฉันไปเรียนที่โรงเรียน
ประถมที่กรุงเทพก่อน หลังจากนั้นเธอก็ส่งลูกทุกคนไปเรียนที่กรุงเทพฯ เราและ
เด็ก ๆ อีกหลายคนภูมิใจที่เราที่ ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนกฤษณาวิทยา มี
นักเรียนเพิ่มขึ้นหลายร้อยคน ในช่วงเวลาดังกล่าวมีนักเรียนมากถึงหลายสิบคน
ที่มา เรียนฟรีที่และคุณแม่ของดิฉันได้ส่งนักเรียน ไปเรียนระดับอุดมศึกษาหลาย
คน เมื่อห้าสิบปีก่อน
ในช่วงที่คุณแม่ของดิฉันก่อตั้งโรงเรียน
คุณพ่อเปิดคลินิกด้วยตัวเองรักษาคนไข้ที่
เป็นชาวบ้าน แม้ว่าชาวบ้าน จะอยู่ราวกับในทะเลทราย ดิฉันจำได้ว่าคุณพ่อของ
ดิฉันขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านทุ่งนาและป่าไม้เพื่อรักษาคนป่วย
ในอำเภอคนส่วนใหญ่ จะรู้จักเราในนาม หมอหงัดและครูหนา
JY.
กรุณาบอกเล่าเกี่ยวกับทัศนคติและมุมมองของคุณที่มีต่อศิลปะในประเทศ
ไทย
MC.
ศิลปินในเมืองไทยฝีมือดีจนไม่น่าเชื่อ แต่หลาย ๆ คนก็เหมือนกันติดคิดว่า
มันล้าสมัยไปอย่างน่าเสียดาย ศิลปะที่เปลี่ยนไปเช่นเคยมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
มีสิ่งหนึ่ง
ที่อยากจะบอกว่าสิ่งที่เรียกว่าศิลปะมันกว้างมากมันยากมากที่จะแสดงความ
คิดเห็น เราจะต้องเลือกฟังและคิดตาม
จากคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือชมเชย คนนั้นเป็นคนแบบไหนรสนิยมแบบไหนมา
จากไหนผ่านอะไรมาในตัวคน ๆ นั้น
|